วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

5 ความเชื่อเรื่องสุขภาพที่ "โกหก"


"เชื่อว่าเมื่อเสียชีวิตไปแล้ว ผมและเล็บของคนเราก็ยังจะงอกออกมาเหมือนปกติ"
ความจริงของเรื่องนี้ >> ขอบอกว่าไม่เป็นความจริงจ้ะ เพราะเมื่อเราเสียชีวิตไปแล้ว อวัยวะทุกอย่างในร่างก่ายก็จะหยุดการทำงาน แต่ที่เราคิดว่าผมและเล็บงอกออกมานั้นก็มาจากผิวหนังบริเวณเล็บและหนังศีรษะเป็นเนื้อเยื่ออ่อนที่จะหดตัวตามธรรมชาติ ทำให้เรารู้สึกว่าผมและเล็บงอกยาวขึ้นได้เอง


"อ่านหนังสือในที่มืดๆ จะทำให้สายตาเสีย"
ความจริงของเรื่องนี้ >> การอ่านหนังสือในที่ที่มีแสงไฟไม่เพียงพอนั้น จะส่งผลทำให้ตาต้องปรับโฟกัสการมองมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการตาแห้ง เมื่อยล้าได้ง่าย และเนื่องจากต้องใช้สายตาในการเพ่งมาก จึงทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักกว่าปกติ



"ถ้าเผลอกลืนหมากฝรั่งจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้"
ความจริงของเรื่องนี้ >> น้องๆ เคยกลืนหมากฝรั่งลงท้องกันบ้างรึเปล่าจ๊ะ ถ้าเคยล่ะก็ไม่ต้องว่ากลัวหมากฝรั่งจะไปเกาะติดอยู่ในท้องของเรานะจ๊ะ เพราะระบบย่อยอาหารสามารถย่อยหมากฝรั่งได้ภายใน 24 ชั่วโมง และขับถ่ายออกมาจากร่างกายตามปกติ แต่หมากฝรั่งจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักมากกว่าปกติ เนื่องจากหมากฝรั่งมีส่วนผสมของยางนั้นเอง


"การดึงและหักนิ้ว จะทำให้เป็นโรคข้ออักแสบและข้อเสื่อมได้"
ความจริงของเรื่องนี้ >> การดึงและหักนิ้ว จะเป็นการบิดและดึงทำให้น้ำหล่อเลี้ยงภายในข้อที่ป้องกันการเสียดสีระหว่างกระดูกเกิดแรงดันกลายเป็นฟองอากาศจนเกิดเสียงขึ้น ซึ่งการดึงและหักนิ้วจะไม่ใช่สาเหตุทื่ทำให้เกิดโรคข้ออักแสบและข้อเสื่อมได้ แต่จะทำให้เอ็นรอบๆ ข้อสูญเสียความแข็งแรงและยืดหยุ่นได้



"กินไอศกรีมโยเกิร์ตช่วยลดความอ้วน และดีต่อสุขภาพด้วย"
ความจริงของเรื่องนี้ >> การกินไอศกรีมโยเกิร์ตจะดีกว่าไอศกรีมทั่วไปในเรื่องของปริมาณพลังงานและไขมัน แต่ถ้าน้องๆ ดูเรื่องของประโยชน์ที่จะได้รับล่ะก็ ควรที่จะกินโยเกิร์ตธรรมดาดีกว่านะ เพราะกว่าที่จะไอศกรีมโยเกิร์ตมานั้นต้องผ่านกระบวนการผลิตและปั่นมาหลายขั้นตอน ทำให้จุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพหายไปหมดแล้ว

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กินผักบุ้งทำให้ตาหวานจริงเหรอ?

เชื่อหรือเปล่าว่า "กินผักบุ้งแล้วตาจะหวาน" เหมือนอย่างที่คนสมัยก่อนมักพูดกันทีเล่นทีจริง ถ้าอย่างนั้นเต่าที่กินผักบุ้งก็คงตาหวานกันทุกตัวอย่างนั้นสิ วันนี้เรามีเกร็ดน่ารู้ดีๆ มาฝากกันจ้า แล้วที่จริงแล้วกินอะไรถึงบำรุงสายตา

นายแพทย์คำนูณ อธิภาส ผู้อำนวยการศูนย์เลสิกกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ หัวเราะร่วนก่อนให้คำตอบว่า จริงๆ แล้ว ตาของคนเราต้องการวิตามินหลายชนิด "ผักบุ้งอย่างเดียวคงไม่พอนะ"




เริ่มตั้งแต่ "วิตามินเอ" ที่มีผลต่อเรตินาหรือจอรับภาพ ผิวกระจกตา ผิวเยื่อบุ ขณะที่ "วิตามินซี" ก็จะเกี่ยวข้องกับน้ำตา ผิวกระจกตา และเส้นใยคอลลาเจนในตาดำ ส่วน "วิตามินบี" จะมีผลต่อความไวของประสาทเกี่ยวกับการส่งสัญญาณไปยังสมอง

"ด้วยความที่เราต้องการวิตามินเยอะมาก ดังนั้น จึงต้องรับประทานพืชผักหลายชนิด อย่าง แครอท หรือผักบุ้งก็จะประกอบด้วยวิตามินหลายอย่าง แต่ผมคงไม่ได้เจาะจงว่าให้กินผักบุ้งอย่างเดียว ควรจะกินอาหารหลายๆ อย่าง ให้ครบหมวดหมู่ตามที่ร่างกายต้องการจะดีกว่า" คุณหมอยิ้มแถมด้วยคำอธิบายเล็กๆ เกี่ยวกับความเชื่อที่ว่า หากสายตาสั้นตอนเด็ก แก่ตัวไปสายตาก็จะยาว ทำให้สายตากลับมาสมดุลปกติ

"อาการสายตายาวแบบผู้สูงอายุ หรือที่เรียกว่า presbyopia คือ 'ดูไกลชัดแต่ดูใกล้ไม่ชัด' มักจะเริ่มเกิดขึ้นในช่วงอายุ 40 ปี หลายคนคิดว่าพอสายตายาวในตอนแก่แล้ว จะทำให้สายตาสั้นที่มีอยู่เดิมก่อนหน้านี้หายไปได้ จริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง เพราะสายตาสั้นของเก่าก็จะยังอยู่เหมือนเดิม แต่จะเกิดอาการสายตายาวเกิดซ้อนขึ้นมาด้วย นั่นยิ่งทำให้แย่มากกว่าเดิมเสียอีก จึงควรเข้ารับการรักษา อาจต้องหาแว่นตามาสวม หรือใช้วิธีการรักษาอื่นๆ ก็ว่ากันไป"

แต่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะเลือกที่จะใช้แว่นตา หรือคอนแทคเลนส์มากกว่าวิธีอื่น อาจด้วยราคาที่ถูก และคิดว่าตาก็ดีๆ อยู่แล้ว ทำไมต้องไปทำอะไรกับมันให้วุ่นวาย ต่างจากมุมมองของจักษุแพทย์ที่เห็นว่าแม้สายตาสั้น-ยาว จะเป็นตาที่มีสุขภาพดีจริง แต่ถือว่ามีความผิดปกติที่น่าจะได้รับการแก้ไข

"คนทั่วไปมองว่าสายตาสั้นนิดยาวหน่อยเป็นเรื่องธรรมชาติ ก็ตาดีๆ อยู่ จะไปทำอะไรกับมันทำไม จริงๆ สายตาสั้น ยาว เอียง เป็นตาที่มีสุขภาพดี แต่ถ้าในวงแพทย์จะถือว่าเป็นความผิดปกติ สมมติเรามีสายตาสั้น 500 ระยะใกล้ที่มองเห็นได้ชัดที่สุดต้อง 20 เซนติเมตร นั่นทำให้สมรรถภาพในการมองเห็นของเราด้อยลงไป"

การเข้ารับการรักษาให้ตามองเห็นได้ชัดเจนในระยะที่สมควรจะเป็น จึงเป็นการแก้ความผิดปกติ บางคนอาจมองว่าเป็นการเสริมความงามให้กับตัวเองเกินไปหรือเปล่า คุณหมอหยุดคิดก่อนจะทิ้งท้ายว่า "ก็เป็นส่วนหนึ่งนะ อย่างปัจจุบันคนอเมริกันทำเลสิคไปแล้ว 4 ล้านคน เหตุผลเหมือนกันเลยคือ..ไม่อยากใส่แว่น" ตรงกันข้ามบางคนอาจคิดว่า ใส่แว่นแล้วดูคงแก่เรียน และน่าเชื่อถือก็มี

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เตือนภัย : ล้างหน้าไม่สะอาดระวังโรค ฝีที่เปลือกตา

เมื่อเช้านี้เปิดหน้าหนังสือพิมพ์ก็ไปเจอกับข่าวของพ่อหนุ่ม 'เลโอ' แห่งวง บีโอวาย ที่เกิดอาการป่วยกะทันหันจากอาการตาอักเสบจนต้องเข้าไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล สืบเนื่องจากอาการดังกล่าวแพทย์ผู้ทำการรักษาได้กล่าวถึงสาเหตุเป็นฝีที่เปลือกตา (meibumion) ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการใช้เครื่องสำอาง ที่ไม่ค่อยสะอาด ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกไปอุดตันที่รูขุมขนลามมาเปลือกตาด้านในและเกิดเป็นหนองขึ้น โดยวิธีการรักษานั้นทำได้โดยการให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเจาะหนองที่เปลือกตาออก
จากอาการป่วยดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า ความสะอาดของเครื่องสำอาง และการทำความสะอาดใบหน้าหลังจากการใช้เครื่องสำอางค์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากเครื่องสำอางไม่สะอาดพอและทำความสะอาดใบหน้าหลังการแต่งหน้าได้ไม่ทั่วถึง ก็อาจจะทำให้เกิดการตกค้างของสารเคมีและเมื่อเกิดการหมักหมมในปริมาณมากก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับผิวหน้าและบริเวณสำคัญ เช่น ดวงตาได้

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

1 ปี คนไทยอ่านหนังสือกี่เล่ม ?


จากผลวิจัยพบว่า เด็กที่ถูกปลูกฝังการอ่านจากพ่อแม่ตั้งแต่แรกเกิด จะมีพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน ทั้งสติปัญญา ทักษะทางภาษา คณิตศาสตร์ ด้านอารมณ์ และคุณธรรม
หนังสือเป็นแหล่งขุมทรัพย์ของความรู้มหาศาล และการที่เราได้อ่านหนังสือดีๆ สักหนึ่งเล่ม จะทำให้ไฟในการอ่านในตัว ถูกจุดขึ้นมา ดังนั้นรีบลองค้นหาหนังสือดีๆ จากเพื่อนๆ พี่ๆ เสีย เพราะยังมีหนังสือดีๆ เล่มต่อๆ ไป รอให้เราเปิดอ่านอยู่ รัฐบาลได้ประกาศเรื่อง การส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้เริ่มในวันหนังสือเด็กแห่งชาติ 2 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา และเริ่มโครงการเสริมการอ่าน ด้วยการส่งเสริมให้เกิดหนังสือดีราคาถูก ถึงมือเด็ก เยาวชน และผู้ปกครอง

แต่อัตราการอ่านหนังสือของคนไทยเฉลี่ยกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม โดยมีอัตราการอ่านหนังสือ 5 เล่มต่อคนต่อปี อัตราการซื้อหนังสือ 2 เล่มต่อคนต่อปี

ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราอย่าง สิงค์โปร์และเวียดนาม มีอัตราการอ่านเฉลี่ย 40-60 เล่มต่อคนต่อปี อีกทั้งหนังสือที่คนไทยส่วนใหญ่อ่านคือตำราเรียน ซึ่งส่วนมากเกิดจากความจำเป็นอีกด้วย อัตราที่น้อยนิดนี้ ยังมีแนวโน้มลดลงตามลำดับเมื่อมีอายุสูงขึ้นด้วย


เป็นอัตราส่วนที่น่าใจหายแวบทีเดียว เพราะการอ่านเปรียบเหมือนการเพิ่มพูนความรู้ของเราให้ก้าวหน้า กว้างไกลยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังปลูกฝังนิสัยดีๆ ต่างๆ เช่น รู้จักการยอมรับ ส่งเสริมจินตนาการ รักการอ่าน มีสมาธิ ฯลฯ

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นอนไม่พอ ต้องทำแบบนี้

เมื่อไรก็ตามที่รู้ว่าต้องนอนดึกหรือต้องอดนอน... น้องๆ ควรนอนให้นานกว่าเดิมวันละ 1 ชั่วโมง เป็นเวลาอย่างน้อย 2-3 วันก่อนถึงเวลาต้องอดนอนจริงๆ เพื่อสะสมชั่วโมงการนอนไว้ และหลังจากที่ต้องอดนอนแล้ว ควรพยายามนอนให้ได้คืนละ 7-8 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยค่ะ


หากว่าเราทำได้ จะทำให้ร่างกายของเราสดชื่น สมองปลอดโปร่ง และปราดเปรื่องแล้ว หน้าตายังบ้องแบ๊วสดใสอีกด้วย ใครที่อดนอนบ่อยๆ จนชิน ลองฝึกชดเชยชั่วโมงการนอนดูบ้าง จะพบว่า หน้าใสกิ๊ง สมองก็วิ๊งสุดๆ อีกด้วย ไม่เชื่อต้องลอง !!!


ส่วนคนที่ยังคงอดนอนต่อไปเรื่อยๆ โดยในหนึ่งสัปดาห์นอนดึกทุกวัน แถมยังไม่เพิ่มชั่วโมงการนอนเพื่อชดเชยชั่วโมงที่เสียไปอีกละก็ น้องๆ จะพบการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพที่มองเห็นได้ชัดเจนมาก นั่นคือ ขอบตาคล้ำ ถุงใต้ตาดำและบวม ผิวหน้าแห้งหยาบกร้านขาดความชุ่มชื้นสดใส และที่เพิ่มมาอย่างห้ามไม่ได้ก็คือ "พุง"

การนอนดึกหรืออดนอนเป็นประจำทำให้อ้วนได้อีกด้วย เพราะเมื่อต้องนอนดึกด้วยกิจกรรมอะไรก็ตาม วัยรุ่นวัยกำลังกินกำลังนอนและกำลังโตอย่างเราๆ นี่แหละค่ะ จะขาดของขบเคี้ยวหรือแม้แต่อาหารมื้อเบามื้อหนักไปไม่ได้ ยิ่งนอนดึกก็ยิ่งกินเก่ง แถมบางคนนอนดึกเพราะนั่งแช่ก้นอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ นั่นจะยิ่งทำให้สิ่งที่กินลงไปไหลลงไปสะสมพอกพูนอยู่ที่หน้าท้อง และต้นขา สุดท้ายสิ่งที่ตามมาคือ "อ้วน" เสียแล้ว...


ที่สำคัญ ยามที่สมองล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อถึงเวลาต้องกิน ไม่ว่าคนที่เคร่งครัดเรื่องอาหารการกินขนาดไหนก็ตาม มักจะขาดความยับยั้งชั่งใจไปได้ เราอาจจะเผลอกินสิ่งที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดอย่างแป้งและน้ำตาล เพื่อเพิ่มความกระตือรือร้นให้แก่ร่างกาย หรือคิดเพียงว่า อะไรก็ได้ กินไปเถอะ ง่วงจะแย่แล้ว...


สุดท้าย... เมื่ออดนอนนานๆ เข้า ไม่ว่าจะหยิบจับคิดอ่านอะไรก็ช้าล้าไปเสียหมดทั้งกายและใจ นั่งฟังเพื่อนคุยไป อาจารย์สอนไป ก็ "หาว" ไปเพลินๆ แบบนี้... นอกจากเป็นลักษณะนิสัยที่ไม่ดีแล้ว ยังเสียบุคลิกอีกด้วยนะคะ