วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผลประเมินจากทั่วโลก เด็กชาติไหนเรียนเก่งที่สุด

สำหรับคะแนนการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาตินี้ เป็นโครงการที่มีชื่อว่า PISA [Program for International Student Asssesment] แปลตรงตัวก็คือโปรแกรมสำหรับประเมินนักเรียนต่างชาติ มีประเทศเข้าร่วมการประเมินทั้งหมด 65 ประเทศ ใช้นักเรียนในการประเมินทั้งหมด 470,000 คน

เนื้อหาของการประเมินประกอบด้วย 3 ส่วนคือ การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ และตอนนี้ผลการประเมินก็ออกมาเป็นที่เรียบร้อย อยากรู้มั้ยล่ะคะว่าเด็กไทยของเราคว้าที่เท่าไหร่มา ?

อันดับ 1 จีน(เซี่ยงไฮ้)

ได้ที่หนึ่งอย่างไม่ยากเย็นค่ะ อย่างที่เรารู้ๆ กันว่า ถ้าพูดถึงคนจีนเมื่อไหร่ เราก็จะนึกถึงความขยันกันเป็นอย่างแรก ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานหรือนักเรียนเนี่ยก็จะขยันกันมากๆๆๆ ถ้าใครเคยไปเรียนเมืองนอกแล้วมีคนจีนเรียนอยู่ในคลาสด้วย ทุกคนจะบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยค่ะว่าเด็กจีนเก่งมากกกก ถึงไม่เก่งก็ขยันและพยายามสุดๆ ทำไม่ได้ก็จะทำให้ได้ ยังไงก็ต้องได้


อันดับ 2 เกาหลีใต้

นาทีนี้เกาหลีใต้เค้ามาแรงจริงๆ ค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องบันเทิง แต่เรื่องการเรียนก็ไม่เป็นรองใคร เพราะการเรียนของเกาหลีใต้เค้าจะมีจุดเด่นที่การเรียนพิเศษ บ้านเราว่าเราเรียนกันหนักแล้ว เกาหลีใต้หนักกว่าเยอะค่ะ การเรียนพิเศษแล้วเลิกเรียน 4-5 ทุ่มถือเป็นเรื่องธรรมดามาก ช่วงสอบยิ่งแล้วใหญ่ เลิกตี 2 ตี 3 กันเป็นว่าเล่น ฟังแล้วก็เหนื่อยแทน แต่เห็นผลประเมินระดับนานาชาติออกมาได้ที่ 2 แบบนี้ ต้องขอคารวะในความอึดจริงๆ ค่ะ

อันดับ 3 ฟินแลนด์

เป็นประเทศที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่คุ้นกันเท่าไหร่ แต่มาคว้าอันดับ 3 ไปอย่างนี้ ไม่ใช่ธรรมดาแล้วล่ะค่ะ ที่ฟินแลนด์เนี่ยเค้าจะให้ความสำคัญกับการศึกษามากๆ โดยเริ่มตั้งแต่ชั้นประถม นักเรียนแต่ละห้องจะมีแค่ไม่เกิน 20 คน แล้วจะให้เรียนไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมงเท่านั้น (บ้านเรากี่ชั่วโมงหว่า 555) แต่เค้าจะเสริมด้วยกิจกรรมอื่นๆ ที่ช่วยพัฒนาทักษะเด็กแทน เพราะมีความเชื่อว่า เรียนแค่ตัวหนังสือไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้หากิจกรรมมาพัฒนาสมองของเด็กดีกว่า


อันดับ 4 ฮ่องกง-จีน

เหตุผลหลักๆ ก็คงไม่ต่างจากอันดับ 1 เพราะเป็นคนจีนเหมือนกัน นอกจากนี้อย่างที่เรารู้ๆ กันก็คือ ฮ่องกงเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อน ดังนั้นอังกฤษจึงวางรากฐานในทุกๆ ด้านให้กับฮ่องกงไว้อย่างดี ดีไม่ดีแค่ไหน การศึกษาฮ่องกงก็ชนะอังกฤษไปแล้วอ่ะค่ะ 555 แถมมหาวิทยาลัยของฮ่องกงหลายที่ก็ติดอันดับโลก ขอบอกเลยค่ะว่า คนฮ่องกงแทบทุกคนเนี่ยพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆๆๆ แถมคนฮ่องกงบางคนนอกจากจะมีชื่อจีน ก็ยังมีชื่อภาษาอังกฤษด้วยล่ะ ไฮโซได้อีก


อันดับ 5 สิงคโปร์

ที่ประเทศสิงคโปร์เนี่ยเป็นประเทศที่มีคนจีนอาศัยอยู่เยอะมากๆ ค่ะ ดังนั้นความขยันและพยายามก็เลยตามมาด้วย^^ ถึงจะเป็นแค่เกาะเล็กๆ แต่การศึกษาของสิงคโปร์ไม่เป็นรองใครค่ะ ไม่ว่าจะเป็นระดับมัธยมหรือมหาวิทยาลัย สถาบันหลายๆ แห่งติดอันดับท็อปของเอเชียและระดับโลก โรงเรียนนานาชาติก็มีเยอะแยะมากมาย แต่ละที่ก็น่าเรียนทั้งนั้น

อันดับ 6 แคนาดา
อันดับ 7 นิวซีแลนด์
อันดับ 8 ญี่ปุ่น
อันดับ 9 ออสเตรเลีย
อันดับ 10 เนเธอร์แลนด์


.......................

อันดับ 50 ไทย อันดับ 51 ตรินิแดด อันดับ 52 โคลัมเบีย อันดับ 53 บราซิล อันดับ 54 มอนเตเนโกร อันดับ 55 จอร์แดน อันดับ 56 ตูนีเซีย อันดับ 57 อินโดนีเซีย อันดับ 58 อาร์เจนติน่า อันดับ 59 คาซัคสถาน อันดับ 60 แอลบาเนีย อันดับ 61 กาตาร์ อันดับ 62 ปานามา อันดับ 63 เปรู อันดับ 64 อาเซอร์ไบจาน อันดับ 65 คีร์กิจสถาน

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว


1. ซอสมะเขือเทศ อาหารของชาวอิตาเลียนจะมีซอสมะเขือเทศเปนเครื่องปรุงหลักและพบว่าชาวอิตาเลียนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาติอื่นหลายเท่า เพราะในซอสมะเขือเทศ อุดมไปด้วยสารไลโคปิน ซึ่งมีอยู่ในมะเขือเทศและเมื่อผ่านกระบวนการทำเป็นซอสจะเพิ่มปริมาณขึ้นอีก 5 เท่า และสารไลโคปินนี้มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจและชะลอการเสื่อมของเซลล์ ดังนั้นถ้าคุณรับประทานซอสมะเขือเทศ 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ โรคหัวใจก็จะห่างไกลคุณแถมด้วยผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์อีกด้วย





2. กระเทียมสด ในกระเทียมสดประกอบด้วยสารทรงคุณค่า 2 ชนิดคือ อัลลิซินและไดอะลิศ ซึ่งทำหน้าที่ลดคลอเลสเตอรอลซึ่งเป็นสาเหุตของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันเลือดจับตัวเปนก้อน ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดี รับประทานกระเทียมวันละ 2 กลีบเป็นประจำ




3. มันเทศ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้อีกด้วย ดังนั้นควรเพิ่มเมนูมันเทศเข้าเป็นอาหารประจำบ้านคุณเพื่อสุขภาพที่ดี




4. หอมหัวใหญ่ มีสารเคอร์เซทีน จึงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ป้องกันโรคภูมิแพ้ แก้อาการหอบหืดและอาการแพ้ต่างๆได้ดี ฉะนั้นอย่างลืมใช้หอมหัวใหญ่ปรุงเมนูเด็ดของคุณ




5. จมูกข้าวสาลี มีธาตุสังกะสีมาก จึงช่วยขจัดสิวอันเป็นปัญหาของผิวพรรณได้ดี ถ้าเติมจมูกข้าวสาลีในโยเกิร์ตหรือธัญพืชกรอบ มื้อเช้าของคุณเป็นประจำ ผิวหน้าของคุณจะผ่องใสไร้สิวแน่นอน




6. ถั่วดำ มีสารต้านโรคโลหิตจาง และมีวิตามินบีและโปรตีนอีกหลายชนิด



7. บรอกโคลี ในดอกตูมของบรอกโคลีมีสารป้องกันมะเร็งมากกว่าต้นแก่ 30 -50 เท่า




8. สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดในการกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งร้าย และให้พลังงานต่ำ มีวิตามินซีสูง


9. โยเกิร์ต เชื่อหรือไม่ว่าการที่ผู้หญิงรับประทานโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วย ช่วยลดการติดเชื้อในช่องคลอดได้ถึง 50% เพราะจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ตจะกระตุ้นร่างกายสร้างสารต้านการติดเชื้อ ทั้งช่วยลดอาการอ่อนเพลียและทำให้สดชื่นแจ่มใส ต่อไปเห็นที่จะต้องรับประทานโยเกิร์ตทุกวันซะแล้ว




10. ถั่วเหลือง ช่วยต้านการเกิดมะเร็งเต้านม ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งมดลูก สาวๆที่อยากห่างไกลโรคนี้อย่าลืมรับประทาน นำเต้าหู้แกงจืดเต้าหู้ หรืออาหารอื่นๆที่มีเต้าหู้เป็นส่วนประกอบเป็นประจำ

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รู้ไหม? กินขนมปังปิ้งทำให้แก่ไว

อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ แต่น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอาหารมื้อแรกของวันสักเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะความเร่งรีบและต้องแข่งขันกับเวลา ทำให้อาหารเช้าที่ความจริงแล้วจะต้องเปี่ยมไปด้วยสารอาหาร ถูกลดทอนความสำคัญให้เหลือเพียงแค่ "ขนมปังปิ้ง" เท่านั้น ...

จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ข้อเท็จจริงนี้ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาแล้วว่า การที่เรารับประทานขนมปังปิ้งบ่อยๆ ติดต่อกัน จะทำให้เราแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว และเป็นโรคเรื้อรังขึ้นได้





ข้อเท็จจริงนี้ถูกยืนยันโดย โจเซฟีน ฟอร์บส์ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันโรคหัวใจและเบาหวาน ไอดีไอ ที่ ได้ทำการศึกษาอาหารสามัญต่างๆ ตั้งแต่ขนมปังปิ้ง ครัวซองต์ ว่าขนมปังเหล่านั้นสามารถก่อสารเคมี ซึ่งกำลังเป็นที่สงสัยกันว่าทำให้เราแก่ลงได้อย่างรวดเร็ว และเป็นโรคเรื้อรังได้ โดยสารเคมีนั้นมีชื่อว่า เอจีอีส์ อยู่ในอาหาร นับตั้งแต่อาหารที่มีเนื้อสัตว์บดละเอียด ไปจนถึง เครื่องดื่มอัดลมและกาแฟ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10ขนมหวานชื่อดังของโลก

ทีรามิสุ ( Tiramisu )


เค้กชื่อดังของอิตาลีทำขึ้นจากเล ดี้ฟิงเกอร์ราดเอสเปรสโซ่ สอดไส้ด้วยมาสคาร์โปนชีสและซาบากลิออเน ลือกันว่าทีรามิสุมีจุดกำเนิดมาจากการที่แม่บ้านของทหารในสงครามโลกครั้งที่ สองทำเค้กให้สามีรับประทาน โดยเชื่อว่าส่วนผสมของคาเฟอีนกับน้ำตาลจะช่วยให้พวกเขามีพลังและแคล้วคลาด จากอันตราย ช่างโรแมนติคเสียนี่กะไร เหมาะจะเป็นของหวานรับวันวาเลนไทน์โดยแท้

บาคลาวา ( Baklava)


ประวัติที่แท้จริงของบาคลาวายากที่จะระบุ ให้แน่ชัด เพราะว่ากันว่ามันมีต้นกำเนิดจาก จักรวรรดิอ็อตโตมัน ดินแดนเมโสโปเตเมีย และอาหรับ โดยขนมหวานชนิดนี้ทำขึ้นจากการนำแป้งฟิลโลมาสอดไส้ไว้ด้วยถั่ว น้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม หากต้องการลิ้มลองรสชาติแบบต้นตำรับก็ต้องไปรับประทานถึงถิ่นที่อ้างว่าเป็น จุดกำเนิด ทั้งกรุงอิสตันบูล กรุงเอเธนส์ และกรุงเบรุต แม้แต่ละที่อาจจะมีรสแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ยังการันตีได้ถึงความเอร็ดอร่อย

ไดฟุกุ ( Daifuku )


ขนมเจลลาตินทรงกลมจากแดนอาทิตย์อุทัยมักสอดไส้ไว้ด้วยถั่วแดงหวาน (และบางครั้งก็อาจเป็นแยมสตอเบอร์รี่) โรยด้วยแป้งบางๆ โดยสามารถหาซื้อมารับประทานได้ทั้งจากกรุงโตเกียว โอซาก้า เกียวโต นากาโนะ และทุกแห่งในญี่ปุ่น


กุหลับ จามาน ( Gulab Jamun)


ก้อนขนมปังหวานที่คงไม่ถูกปากฝรั่งตาน้ำ ข้าว แต่คอนเฟิร์มว่าอยู่ในรายชื่อขนมอันดับต้นๆ ของชาวอินเดีย และเมื่อมีคนกว่าพันล้านคนชื่นชอบ ก็ยากจะปฏิเสธได้ว่ามันไม่อร่อย ปกติแล้วมักทำขึ้นโดยใช้ครีมสองชั้นและราด้วยน้ำเชื่อมเข้มข้น เป็นที่นิยมในอินเดีย ปากีสถาน เนปาล และประเทศในแถบเอเชียใต้

ฮาโล ฮาโล ( Halo Halo)


จานเด็ดของชาวฟิลิปปินส์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้ไข่บาลุท แต่รับประกันได้ว่าไม่น่าสะอิดสะเอียน ทั้งนี้ ฮาโล ฮาโล ไม่มีสูตรการทำที่แน่นอน แต่ดูๆ ไปก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งใสของบ้านเรา โดยนำน้ำแข็งบดมาเติมด้วยเครื่องเคียง เช่น ถั่วเขียว ลูกตาล ขนุน มะพร้าวอ่อน ไอศกรีม วุ้นมะพร้าว สับปะรด และอื่นๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการราดนมข้นหวานและน้ำเชื่อม โดยสามารถหารับประทานได้ทุกที่ในกรุงมะนิลา


แบล็คฟอเรสท์เค้ก ( BlackForestCake )


ด้วยความมีชื่อเสียงในเรื่องชนิทเซล เบียร์ และเค้กรสชาติอร่อยมากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เยอรมนีจะกลายเป็นสถานที่ดื่ม-กินยอดนิยมของเรา โดยเจ้าช็อกโกแลตเค้กที่ทับซ้อนหลายชั้นด้วยครีม เชอร์รี่ และบรั่นดีผลไม้นี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นยุค 1900 ทางตอนใต้ของเยอรมนี (ภายหลังได้รับการปรุงแต่งให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยฝีมือของช่างทำเค้กในกรุง เบอร์ลิน) และทุกวันนี้เป็นทื่ชื่นชอบของคนทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า นี่ก็เป็นหนึ่งในของโปรดของเราเช่นกัน

ข้าวเหนียวมะม่วง


ขนมหวานแบบไทยๆ ที่นำมะม่วงสุกเหลืองอร่ามมาทานคู่กับข้าวเหนียวมูนราดด้วยน้ำกะทิ ฟังแล้วชวนน้ำลายสอเป็นอย่างยิ่ง โดยได้รับความนิยมจากทั้งชาวสยามและชาวต่างชาติ ทั้งยังสามารถหาลิ้มลองได้ทั้งที่โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร และร้านอาหารตามท้องถนนทั่วไป


แอปเปิ้ล พาย ( Apple Pie )


เช่นเคย แม้จะฟังดูเป็นอเมริกันจ๋า แต่จริงๆ แล้วมีต้นกำเนิดจากเมืองผู้ดี โดยได้รับการคิดค้นขึ้นเมื่อปี 1381 และปกติจะอบด้วยแป้งสองชั้น ในสมัยก่อน ตอนที่ชาวอังกฤษอพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา พวกเขาได้นำเมล็ดแอปเปิลมาปลูกด้วย จึงทำให้มันมีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมของชาวมะกัน แต่ไม่ว่าจะที่โรงแรมในลอนดอนหรือภัตตาคารในแอลเอ แอปเปิลพายก็เป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดาลูกค้าเหมือนกัน


นาไนโม บาร์ ( Nanaimo Bars)


แคนาดาขึ้นชื่อเรื่องขนมหวาน ? ได้ยินแล้วไม่ต่างกับการพูดว่ากรุงเทพขึ้นชื่อเรื่องทะเลยังไงยังงั้น แต่กระนั้น ขนมรสเลิศดังกล่าวก็มีที่มาจากเกาะแวนคูเวอร์ในเมืองนาไนโม รัฐบริติชโคลัมเบีย โดยได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจากฝีมือแม่บ้านท้องถิ่นซึ่งได้ส่งเจ้าขนมทรง จัตุรัสชิ้นนี้ไปประกวดในนิตยสารและคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้ ปัจจุบัน เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในแถบอเมริกาเหนือ


แครมบรูเล่ ( Creme Brulee)


แม้ชื่อจะฟังดูแล้วฝรั่งเศสสุดๆ แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าเป็นเช่นนั้น เนื่องจากวิทยาลัยทรินิตี้ในเคมบริดจ์ได้อ้างว่าพวกเขาคือต้นตำรับผู้คิดค้น ขนมสูตรเด็ดนี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 1600 อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีจุดกำเนิดจากอังกฤษ แต่เชื่อแน่ว่าคงไม่มีสถานที่ใดเหมาะแก่การทานคัสตาร์ดเย็นๆ โรยด้วยน้ำตาลไหม้ ได้เท่ากับใต้หอไอเฟลที่ประดับด้วยไฟสว่างไสวในยามค่ำคืนในกรุงปารีส

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

10 อันดับหาดทรายสีดำที่สวยที่สุดในโลก

อันดับที่ 1 >> Punaluu Beach, Hawaii

อันดับที่สูงที่สุดในโลกของหาดทรายสีดำ ตั้งอยู่บน Big Island ของฮาวาย หาดนี้ล้อมรอบด้วยทรายสีดำ ที่เกิดจากลาวาที่เย็นตัวลงจากภูเขาไฟในมหาสมุทร หาดนี้สามารถพบเต่า Hawhsabill หรือ Green sea turtles แม้ว่าทรายสีดำจะดูสวยงาม แต่ถ้า นำทรายออกจากหาดถือว่าผิดกฎหมาย





อันดับที่ 2 >> Waianapanapa Black Sand Beach, Maui
ชายหาดสีดำที่เกิดจากกระแสน้ำกัดเซาะหินภูเขาไฟ คุณสามารถชมและเข้าไปในถ้ำ สะพานที่เกิดจากหินธรรมชาติ และ King's Highway เส้นเก่า ที่เคยใช้เป็นถนนล้อมรอบเกาะ ในฤดูหนาว คลื่นจะแรงและสูงมาก ถ้าจะมาต้องมาในช่วงหน้าร้อน






อันดับที่ 3 >> Honokalani Black Sand Beach, Maui
ตั้งอยู่ใน Wainapanapa State Park หาดที่เต็มไปด้วยกรวดเล็กๆจากลาวา รอบๆจะมีถ้ำ ปะการังลาวา แท่งลาวา คุญสามารถเดินไปยัง King's Highway เป็นทางจากฝั่งเรียบชายหาดไปยัง Hana ซึ่งสามารถดำน้ำและ snorkeling ได้ที่นี้






อันดับที่ 4 >> Oneuli Beach, Maui
หนึ่งในชายหาดที่ไม่อาจไม่พบฝูงชนจำนวนมาก ชายหาดนี้ น้ำกะลังดี สามารถตั้งแคมป์ได้ ว่ายน้ำ ปีนเขา พายเรือ และตกปลา ถ้าคุณชอบอยู่กับธรรมชาติ และยังสามารถดำน้ำ snorkeling และ schuba diving และพายเรือคายัค ทรายจะร้อนมากถ้าพระอาทิตย์ขึ้น






อันดับที่ 5 >> Black Sand Beach, Lost Coast, California

ชายหาดนี้ยาวถึง 80 ไมล์ ที่หายสาบสูญหนึ่งในชายหาดที่คนไปน้อยที่สุด ที่นี้สามารถพิชิตยอดเขาได้ ด้วยความสูงมากกว่า 2000 ฟุต จุดที่สูงที่สุดคือ King's Peak ที่ความสูง 4,087 ฟุต ส่วนใหญ่ผู้คนจะปีนเขาขึ้นไปถ่ายรูปมากกว่า ว่ายน้ำที่นี้



อันดับที่ 6 >> Kaimu Beach, Hawaii

แม้จะอันตรายแต่หาดทรายสีดำนี้ก็น่าที่จะไปชม ในช่วงปี 1990 ชายหาดถูกปกคลุมด้วยลาวา ปัจจุบันจึงมีการปลูกต้นไม้ ดอกไม้ เพื่อให้เข้าสู่ธรรมชาติ กระแสน้ำแรงมาก แต่ถ้าอยู่ตื้นๆก็เล่นได้




อันดับที่ 7 >> Kehena Beach, Hawaii

ชายหาดนี้ได้ชื่อว่าชายหายเปลือยแม้ว่ามันจะผิดกฎหมาย ที่นี้คุณจะไม่โดดเดี่ยวเพราะจะได้พบกับปลาวาฬ เหตุนี้จึงได้ชื่ออีกว่า หาดปลาวาฬ สามารถว่ายน้ำกับปลาวาฬถ้ากระแสน้ำไม่เลวร้าย


อันดับที่ 8 >> Pololu Valley Beach, Hawaii
ชายหาดนี้อยู่สุดทางหลวงหมายเลข 270 ที่เกาะนี้สามารถชมวิวภูเขา kohala ได้อย่างดี พอๆกับชายฝั่ง เป็นเกาเล็กที่สุดในฮาวาย ต้องปืนเขา 400 ฟุต เพื่อมายังชายหาด เวลาประมาณ20 นาที เกาะนี้ไม่นิยมดำน้ำ ว่ายน้ำ เพราะกระแสน้ำแรง และคลื่นสูงอีกด้วย






อันดับที่ 9 >> Black Sand Beach, Prince William Sound , Alaska
ชายหาดอยู่ห่างจาก Anchorage 6o ไมล์ จะได้พบกับธารน้ำแข็ง น้ำตก ภูเขาเขียว และสัตว์ป่าที่ไม่สามารถชมได้ในสวนสัตว์ ถ้ามองไปรอบๆจะเห็นเงาสะท้อนของน้ำและน้ำแข็งสีฟ้าที่อยู่ลึกลงไปเป็นหมื่นฟุต กิจกรรมที่นิยม คือ พายเรือคายัค

อันดับที่ 10 >> Vik beach, Iceland
อยู่ทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ หนึ่งในชายหาดที่มีการจัดอันดับในปี 1991 เป็นหมู่บ้านที่ฝนตกมากที่สุด ถ้าเราจะไปก็ต้องตรวจสอบให้ดีว่าไม่มีฝนตก

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

Jean Jaques Rousseau


ฌอง-ฌาค รุสโซ (Jean Jaques Rousseau) 22 มิถุนายน พ.ศ. 2255 - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2321 เป็นนักปรัชญา นักเขียน กทฤษฎีการเมือง และนักประพันธ์เพลง ที่ฝึกหัดด้วยตนเอง แห่งยุดแสงสว่าง
ปรัชญาของรุสโซ
คำสอนของเขาสอนให้คนหันกลับไปหาธรรมชาติ ( back to nature ) เป็นการยกย่องคุณค่าของคนว่า "ธรรมชาติของคนดีอยู่แล้วแต่สังคมทำให้คนไม่เสมอภาคกัน" เขาบอกว่า "เหตุผลมีประโยชน์ แต่มิใช่คำตอบของชีวิต ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งความรู้สึก สัญชาตญาณและอารมณ์ของตัวเราเอง ให้มากกว่าเหตุผล"
ทฤษฎี "คนเถื่อนใจธรรม"
รุสโซเชื่อว่ามนุษย์นั้นเป็นคนดีโดยธรรมชาติ หรือเป็น "คนเถื่อนใจธรรม" (noble savage) เมื่ออยู่ในสภาวะธรรมชาติ แต่ถูกทำให้แปดเปื้อนโดยสังคม เขามองสังคมว่าเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้น และเชื่อว่าการพัฒนาของสังคม โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของการพึ่งพากันในสังคม เป็นสิ่งที่อันตรายต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์
ความเรียงชื่อ "การบรรยาเกี่ยวกับศิลปะและวิทยาศาสตร์" (2293) ที่ได้รับรางวัลของเมืองได้อธิบายความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์นั้น ไม่เป็นประโยชน์กับมนุษย์ เขาได้เสนอว่าพัฒนาการของความรู้ทำให้รัฐบาลมีอำนาจมากขึ้น และทำลายเสรีภาพชของปัจเจกชน เขาสรุปว่าพัฒนาการเชิงวัตถุนั้น จะทำลายโอกาสของความเป็นเพื่อนที่จริงใจ โดยจะทำให้เกิดความอิจฉา ความกลัว และความระแวงสงสัย
งานชิ้นถัดมาของเขา "การบรรยายว่าด้วยความไม่เสมอภาค" ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาและการทำลายของมนุษย์ ตั้งแต่ในสมัยโบราณ จนถึงสมัยใหม่ เขาเสนอว่ามนุษย์ในยุคแรกสุดนั้นเป็นมนุษย์ครึ่งลิงและอยู่แยกกัน มนุษย์แตกต่างจากสัตว์เนื่องจากมีความต้องการอิสระ (free will) และเป็นสิ่งที่สามารถแสวงหาความสมบูรณ์แบบได้ เขายังได้กลาวว่ามนุษย์ยุคบุคเบิกนี้มีความต้องการพื้นฐาน ที่จะดูแลรักษาตนเองและมีความรู้สึกห่วงหาอาทรหรือความสงสาร เมื่อมนุษย์ถูกบังคับให้ต้องมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากร จึงได้ปรัลเปลี่ยนทางด้านจิตวิทยา และได้เริ่มให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคนอื่นๆ ว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีชีวิตที่ดีต่อตนเอง รุสโซได้เรียกความรู้สึกใหม่นี้ ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิบานของมนุษย์

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

12 วิชาเลือกของเด็กนอก ที่เด็กไทยต้องร้องว้าววว !

Yearbook Production (การทำหนังสือรุ่น)


วิชานี้คือการสอนขั้นตอนการทำหนังสือรุ่น โดยจะได้เรียนการทำแบบละเอียดสุดๆ ตั้งแต่การเก็บข้อมูลจากเพื่อนๆ การจัดหน้าหนังสือ การออกแบบกราฟฟิค การส่งเข้าโรงพิมพ์ การพิสูจน์อักษร

Photography (การถ่ายภาพ)

การเรียนถ่ายภาพที่ไฮสคูล เค้าเรียนกันตั้งแต่ม.ต้นเลย การเรียนของเค้ามีถึงขั้นการไปออกทริป ส่งประกวดระดับโรงเรียนระดับเขต คนที่สนใจเรียนก็ต้องมีกล้องเป็นของตัวเองสะก่อน จะกล้องแบบไหนก็ได้ เพราะการเรียนภาพถ่ายระดับไฮสคูล เค้าจะสอนกันในระบบเบื้องต้น + มุมมองการถ่ายภาพมากกว่า

Cosmetology (เครื่องสำอางศึกษา)

ชื่อวิชานี้ก็มาจากคอสเมติกซึ่งแปลว่า เครื่องสำอาง นั้นเเหละ แต่ไม่ได้หมายถึงการผลิตเครื่องสำอางออกมาขายนะ แต่ระดับไฮสคูล จะสอนเกี่ยวกับการผสมง่ายๆในเครื่องสำอางที่เราพบเจอกันบ่อยๆ และดูว่าส่วนผสมไหนเหมาะกับผิวไหน เพื่อจะได้ใช้เครื่องสำอางที่เหมาะสม


Orchestra (ออเครสตร้า)

เหมาะกับคนใจรักเสียงดนตรีที่อยากจะเปล่งเสียงออกมา ซึ่งอันนี้อาจจะเป็นข้อได้เปรียบของประเทศตะวันตกที่เค้ามีบุคลากรที่ชำนาญด้านวงออเครสตร้าเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการที่จะหาอาจารย์มาสอนออเครสตร้าของไทยยังมีไม่มากนักและลำบากด้วย


Animal care (การดูแลสัตว์)

ซึ่งส่วนมากจะหมายถึงสัตว์พวกหมา แมว กระรอก หรืออะไรที่เราเลี้ยงได้ เพราะคนส่วนมากชอบเลี้ยงสัตว์กันแต่ก็ดูแลสัตว์กันผิดๆ ดังนั้น จึงเหมาะกับคนที่รักสัตว์และพร้อมที่จะเรียนรู้วิธีการดูแลพวกเขาอย่างถูกวิธี

World Literature (วรรณกรรมโลก)

ในวิชานี้จะได้เรียนกับวรรณกรรมชื่อดังของโลกมากมายหลายประเทศ เช่น Napoleon and Josephine, Romeo and Juliet, Pinocchio พร้อมทั้งเรียนรู้ประวัติของผู้ประพันธ์และวิเคราะห์วรรณกรรมอย่างง่ายๆ

Anatomy (กายวิภาคศาสตร์)

เป็นวิชาสุดมันของนิสิตนักศึกษาแพทย์ศาสตร์ ที่เมืองนอกจะเรียนกันตั้งแต่ไฮสคูล ซึ่งจะแยกวิชานี้ออกเป็นวิชาโดดๆ ต่างจากบ้านเราที่จะไปรวมกันในคาบของวิชาชีววิทยาที่ผ่าหัวใจหมู ... ซึ่งการผ่าเนี่ย จะผ่ากันแบบอลังการมาก เช่น ผ่าซากปลาโลมา ผ่าซากแมว ซึ่งทางโรงเรียนจะมีซากพวกนี้มาใหเราเรียนกัน

Child Service (การดูแลเด็ก)

วิชานี้เหมาะกับคนที่รักเด็กและใจเย็น เพราะจะได้ลองเลี้ยงเด็กกันจริงจังมาก ตอนแรกอาจจะเป็นลูกของครูในโรงเรียนนี้แหละ แต่พอเริ่มเก่งแล้ว อาจจะออกไปตามสถานที่เลี้ยงเด็กต่างๆ เพื่อลองเป็นพี่เลี้ยงเด็กกันจริงๆ

Theatre (การละคร)

เน้นหลักๆที่การแสดงละครเวที ใครถนัดอะไรก็เลือกได้เลย พระเอก พระรอง นางเอก นางรอง นางร้าย ฯลฯ ซึ่งใครมีแววก็จะได้เล่นในงานต่างๆของโรงเรียน ซึ่งสนุกกันมากเพราะเด็กฝรั่งกล้าแสดงออก เล่นที่สุดเหวี่ยง อินได้อีก

Graphic Design (กราฟฟิคดีไซน์)

เป็นวิชาที่น่าสนใจและน่าเรียนมาก เพราะไฮเทคและอินเตอร์สุดๆ แถมยังเก็บเป็นพอร์มฟอลิโอไว้สมัครเข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วย โดยจะเริ่มสอนตั้งแต่โปรแกรมพื้นฐาน Photoshop ไปยัง Illustrator, Maya 3D ซึ่งในเมืองไทยบางโรงเรียนก็มีเปิดสอนแล้ว ถือว่าเป็นประโยชน์กับตัวเอง

Tourism (การท่องเที่ยว)

วิชาที่แสนจะน่าสนใจมาก และหลายคนก็อยากเรียน แต่ไม่ได้มีเฉพาะเที่ยวอย่างเดียว เพราะมันมีมากกว่านั้นและยากกว่านั้น การที่จะเป็นไกด์จะต้องรู้ครอบคลุมจักรวาลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว


Sign Language (ภาษามือ)


จะได้เรียนรู้การใช้ภาษามือสื่อสารเป็นคำๆและเป็นประโยคง่ายๆ วิชานี้เป็นวิชาที่ฮิตมากๆ เพราะถือว่าเป็นวิชาที่แปลกใหม่ เรียนแล้วได้ประสบการณ์เพียบ แถมยัมีโรงเรียนที่เปิดสอนวิชานี้เยอะมาก

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จังหวัด บึงกาฬ




จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย

จังหวัดบึงกาฬ เป็นจังหวัดที่มีการร้องขอให้จัดตั้งขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2537 ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย
จากการสำรวจความเห็นของประชาชน จำนวน 366,903 คน ปรากฏว่าประชาชนเห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ร้อยละ 98.83 หากมีการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ จะมีประชากรประมาณ 399,233 คน ประกอบด้วย 8 อำเภอ ส่วนจังหวัดหนองคาย จะประกอบด้วย 9 อำเภอ ประชากร 506,343 คน




สภาพทั่วไปบึงกาฬ เป็นอำเภอที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับแม่น้ำโขง และแขวงบริคำไชย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ผลการพิจารณาเมื่อปี พ.ศ. 2537 กระทรวงมหาดไทย ได้แจ้งผลการพิจารณาว่ายังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2553 กระทรวงมหาดไทย ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ...
ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จึงนับได้ว่าขณะนี้จังหวัดบึงกาฬได้แยกตัวออกจากจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่ 77 ในราชอาณาจักรไทย

อำเภอเมืองบึงกาฬ
อำเภอเมืองบึงกาฬ เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดบึงกาฬ มีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง มีน้ำตก มีภูเขา เป็นอำเภอที่มีเขตพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขง และอีกฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขงจะเป็นประเทศเพื่อนบ้าน (ลาว) มีการคมนาคมสะดวก

ประวัติเดิมอำเภอบึงกาฬมีชื่อเดิมว่า ไชยบุรีซึ่งขึ้นกับจังหวัดนครพนม จนกระทั่งปี พ.ศ. 2460 ได้ถูกโอนย้ายให้ขึ้นต่อจังหวัดหนองคาย และถูกเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บึงกาฬ ในปี พ.ศ. 2482
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2537 ได้มีการร้องขอให้จัดตั้งเป็นจังหวัดบึงกาฬ ตามข้อเสนอของนายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย โดยแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย แต่กระทรวงมหาดไทย ยังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐซึ่งขัดมติคณะรัฐมนตรี
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2553 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ ส.ส.ส่วน พรรคกิจสังคมได้ตั้งกระทู้ถามสดต่อนายกรัฐมนตรี เรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ และทางกระทรวงมหาดไทยเห็นด้วย กำลังอยู่ในกระบวนการนำเข้าเสนอต่อที่ประชุม ครม. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งเรื่องเข้ามาสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอเป็นกฎหมายพ.ร.บ.จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ ต่อไป
ต่อมาในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีก็มีมติให้ทำการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้นซึ่งมีผลนับตั้งแต่นี้ เป็นต้นไป จึงทำให้อำเภอบึงกาฬ ได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเมืองบึงกาฬ

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คณะแปลกๆ ที่(แทบ)ไม่มีสอนในเมืองไทย

Suicide Prevention (การป้องกันระวังการอัตวินิบาตกรรม)


เนื้อหาสอนถึงการแยกแยะชนิดและประเภทของพฤติกรรมการอัตวินิบาตกรรมหรือการฆ่าตัวตาย โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์และวิจัยเพื่อค้นหาพฤติกรรมการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังศึกษาลึกลงไปยังเชื้อชาติและวัฒนธรรมต่างๆ ที่อาจเป็นปัจจัยต่อการฆ่าตัวตาย เพื่อหาทางป้องกันและลดปัญหาการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นในสังคมใครสงสัยว่าทำไมคนญี่ปุ่นเกาหลีเค้าถึงมีสถิติการฆ่าตัวตายกันเยอะ(มาก) สาขานี้น่าจะตอบโจทย์ได้อย่างแน่นอน และน้องๆ อาจจะมีโอกาสได้ช่วยเหลือชีวิตคนที่คิดจะฆ่าตัวตายได้อีกมาก

Motorsport Engineering (วิศวกรรมรถแข่ง)


เนื้อหาเกี่ยวกับการผลิตรถแข่งในทุกๆ โครงสร้างขั้นตอน รวมไปถึงศึกษาวงการธุรกิจรถแข่ง เพื่อพัฒนารถแข่งที่มีประสิทธิภาพ ทนทาน และมีอายุการใช้งานได้ยาวนาน วิชาที่ต้องเรียน เช่น การจัดการทีมรถแข่ง การทดสอบเครื่องยนต์ การออกแบบรถแข่ง กฏหมายการแข่งขัน กลศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของอากาศและก๊าซ ใครหลงใหลในความเร็วและมันส์ของรถแข่ง และอยากจะเปลี่ยนความหลงใหลให้เป็นประโยชน์ล่ะก็ น่าจะมาลองเรียนด้านนี้มากๆ

Artificial Intelligence (ปัญญาประดิษฐ์)


เนื้อหาสอนเกี่ยวกับการพัฒนาและความเข้าใจต่อกระบวนการของความ ฉลาดที่เกิดขึ้นหรือกระบวนการเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ เป็นสาขาหนึ่งใน ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรมเป็นหลัก แต่ยังรวมถึงศาตร์ใน ด้านอื่นๆ อย่างจิตวิทยา ปรัชญา หรือชีววิทยา ซึ่งสาขาปัญญาประดิษฐ์ เป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการการคิด การกระทำ การให้เหตุผล การ ปรับตัว หรือการอนุมาน และการทำงานของสมอง ใครอยากรู้ว่าสมอง มนุษย์ทำงานยังไง ทำไมคนนึงถึงฉลาดกว่าอีกคน ทำไมคนนั้นถึงเป็น อัจฉริยะ สาขานี้มีคำตอบชัวร์ (แอบได้ยินมาว่าที่ไทยก็เริ่มมีสอนแล้ว)


Women's Studies (สตรีเพศศึกษา)



ในต่างประเทศ สาขานี้เป็นสาขาที่บูมมากๆ อาจเพราะว่ามีการลุกฮือของกลุ่มสตรีต่างๆ เพื่อเรียกร้องสิทธินั่นนี่มากมาย ซึ่งเมืองไทยบ้านเรายังไม่ค่อยมีอะไรอย่างนั้น จึงทำให้สาขาวิชาสตรีเพศศึกษายังไม่เป็นที่รู้จักในบ้านเราเท่าไร (จริงๆ ก็มีตามคณะรัฐศาสตร์ แต่ก็จะเรียนเป็นวิชาแค่ตัวเดียวเท่านั้น ไม่ได้เจาะลงลึกเท่าไร) ซึ่งเนื้อหาก็จะเกี่ยวกับการเมือง สังคม ประวัติศาสตร์ ทัศนคติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงหรือสตรีเพศ เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างเพศชายและเพศหญิงในด้านศักยภาพและความต้องการที่แตกต่างกัน ใครมีความคิดอยากให้สิทธิและบทบาทของหญิงไทยเท่าเทียมผู้ชายล่ะก็ ห้ามพลาดเรียนด้านนี้เด็ดขาด


Occupational Therapy (อาชีวะบำบัด)



อาชีวบำบัดเป็นสาขาหนึ่งที่เกี่ยวข้องในงานฟื้นฟูสมรรถภาพ มองเผินๆ อาจจะเหมือนกายภาพบำบัด แต่เปล่าเลยค่ะ กายภาพบำบัดจะช่วยบำบัด ให้ผู้ป่วยกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้นและใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่อาชีวบำบัด จะเน้นที่การสอนหรือฝึกหัดการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆ เพื่อให้ผู้ ป่วยเหล่านั้น ซึ่งส่วนมากจะเป็นผู้ป่วยโรคจิต โรคประสาท ปัญญาอ่อน พิการ หรือติดยาเสพติด นำเครื่องมือต่างๆ มาใช้ทำกิจกรรมที่นำ ไปสู่การประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ นอกจากนี้คนที่เรียนอาชีวบำบัด ก็ต้องสามารถดูแลและควบคุมพฤติกรรมผู้ป่วยร่วมกับแพทย์ได้ด้วย ใครที่อยากช่วยเหลือคนที่(เหมือนจะ)ด้อยโอกาสทางสังคม ให้เค้า สามารถดูแลตัวเองและสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมได้ ควรเรียนสาขานี้ อย่างมาก


Theology (เทววิทยา)




การศึกษาเกี่ยวกับคำสอนทางศาสนา โดยเฉพาะการศึกษาเกี่ยวกับพระเจ้าและความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์และกับโลก วิชาที่ต้องเรียนได้แก่ ภาษาบาลี ปรัชญา คัมภีร์ไบเบิ้ลฮิบรู ภาษาอะราบิคแบบคลาสสิค เป็นต้น สถาบันดังๆ ระดับโลกล้วนแต่มีสอนวิชานี้ทั้งนั้น เช่น มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถาบันที่มีสอนสาขาเทววิทยาที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ รวมถึงมีทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาต่างชาติที่สนใจอยากศึกษาด้านนี้เยอะแยะมากมายเลยล่ะ ใครสนใจด้านพระเจ้าและอยากจะศึกษาให้ลึกลงไป สาขานี้นับว่าน่าสนใจมากทีเดียวค่ะ เพราะในเมืองไทยส่วนมากจะเป็นพวกศาสนศึกษาซึ่งจะเน้นที่เรื่องของศาสนา ต่างกับเทววิทยาตรงที่เทววิทยาจะเน้นที่ตัวมนุษย์กับพระเจ้ามากกว่า



Meteorology (อุตุนิยมวิทยา)




หรือศึกษาเกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ การเปลี่ยนแปลงของอากาศ มลพิษที่มีในชั้นบรรยากาศ สังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งใครอยากเรียนด้านนี้ต้องถนัดเลขกับฟิสิกส์ด้วยนะคะ เพราะต้องใช้ในการเรียนมากทีเดียว ดังนั้นใครที่อยากเป็นนักพยากรณ์อากาศ นักอุตุนิยมวิทยา ที่จะได้ช่วยเหลือคนจำนวนมากให้รู้ถึงสภาพอากาศล่วงหน้า และสามารถเตรียมรับมือกับอากาศ (ที่อาจจะร้ายแรงได้ทุกเมื่อ) ได้ทันควัน รีบมาเรียนด้านนี้กันด่วนเลยค่ะ เพราะได้ใช้ประโยชน์จริงแน่ๆ และที่สำคัญที่สุด ขอบอกว่าอาชีพนักอุตุนิยมวิทยาเนี่ยไม่ได้สำคัญแค่ในระดับประเทศนะคะ แต่สำคัญระดับโลกและจักรวาล