วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

11 วิธีเอาชนะโรค "ภูมิแพ้"

11 วิธีพิชิต "โรคภูมิแพ้”

1. รักษาอาการของท่านด้วยตนเอง โดยหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ให้มากที่สุด และเมื่อมีอาการมาก ท่านสามารถ เลือกใช้ยาแก้แพ้ที่มีขายทั่วไปด้วยตัวท่านเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้ยาดังกล่าวแล้ว อาการไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน ท่านควรจะปรึกษาแพทย์

2. ติดเครื่องปรับอากาศในบ้าน เครื่องปรับอากาศ จะทำให้อากาศมีความชื้นต่ำลง ซึ่งเป็นสภาวะที่ตัวไร และเชื้อราไม่ชอบ นอกจากนี้ ยังสามารถกรองฝุ่นได้บางส่วน โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ ที่รวมเอาเครื่องฟอกอากาศ เข้าไปด้วย รวมทั้งยังสามารถป้องกันเกสรดอกไม้ และเกสรหญ้าต่างๆที่มีอยู่ภายนอกบ้านได้อีกด้วย


3. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศโดยจะต้องเป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่เพียงพอกับขนาดของห้องและได้มาตรฐาน เครื่องฟอกอากาศที่ไม่ได้มาตรฐานในการกำจัดฝุ่น นอกจากจะไม่ช่วยลดจำนวนฝุ่นที่มีอยู่ในอากาศแล้ว อาจจะเป็นตัวที่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วห้องได้อีก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการมากขึ้นไปอีก

4. เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดบริเวณที่อับชื้น ที่มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อราผสมอยู่ด้วย เช่น น้ำยาที่มีClorox เป็นส่วนผสม


5. ไม่ควรเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้าน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรจำกัดบริเวณของสัตว์เลี้ยง ไม่ให้เข้าไปในห้องนอนของผู้ป่วย จำไว้ว่าการให้สัตว์เลี้ยงของท่านเดินผ่านห้องนอนของท่านเพียงหนึ่งครั้ง จะมีสารก่อภูมิแพ้ในห้องของท่าน ในปริมาณเพียงพอที่จะทำให้ท่านมีอาการไปทั้งอาทิตย์

6. ใช้ผ้าปิดปากและจมูกทุกครั้ง เมื่อจำเป็นจะต้องทำความสะอาดบ้านด้วยตนเอง

7. ให้ผู้อื่นทำงานบ้านแทน หรือจ้างคนรับใช้ เพื่อทำความสะอาดบ้าน บางครั้งค่าจ้างทำความสะอาด อาจมีราคาต่ำกว่า ค่ารักษาที่ท่านต้องเสียไป

8. หลีกเลี่ยงการใช้พรมในบ้าน พรมเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ตัวไร และเชื้อรา จะมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะทำความสะอาดด้วยการนำมาซัก ก็ไม่สามารถกำจัดตัวไรให้หมดไปได้ เนื่องจากความร้อนที่ใช้ไม่สูงพอในการทำลายตัวไร ในทางตรงข้าม กลับจะทำให้พรมมีความชื้นมากขึ้น ถ้าทำให้แห้งไม่ดีพอ และทำให้มีตัวไรและเชื้อรามากขึ้นไปอีก

9. ใช้หมอนที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ แม้ว่าตัวไรจะสามารถอาศัยอยู่ในวัสดุสังเคราะห์ได้เช่นกัน แต่หมอนที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์สามารถนำมาทำความสะอาดด้วยความร้อนที่มีอุณหภูมิที่สูงกว่าหมอนธรรมดา ทำให้สามารถทำลายตัวไรได้

10. ซักปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนบ่อยๆในน้ำร้อน นอกจากหมอนแล้ว ตัวไรยังชอบ ที่จะอาศัยอยู่ในปลอกหมอนด้วยเช่นกัน

11. ทำห้องนอนให้เป็นเขตปลอดสารก่อภูมิแพ้ในกรณีที่ไม่สามารถทำให้ทั้งบ้านเป็นเขตปลอดสารก่อภูมิแพ้ได้ ทั้งนี้เนื่องจาก โดยทั่วไป คนเราจะใช้เวลาอยู่ในห้องนอนมากกว่าห้องอื่นๆ

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Kaufhaus des Westens [ เคาฟเฮาส์ เดส เวสเทนส์ ]
หรือที่เรียกติดปากว่า Kadewe ตั้งอยู่ในเมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน ได้ชื่อว่าเป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป (แต่บางแหล่งก็บอกว่าใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากห้าง Harrods ในประเทศอังกฤษ) เปิดในปี 1907 ควบคุมโดย Adolf Jandorf นักธุรกิจชาวเยอรมัน ซึ่งในตอนนั้นพื้นที่ของห้างมีประมาณ 24,000 ตารางเมตร ในปี 1927 ได้เปลี่ยนเจ้าของไปในนามของบริษัท Hertie ซึ่งประธานบริษัทคือ Hermann Tietz โดยได้สร้างชั้นใหม่เพิ่มเข้าไป 2 ชั้น แต่ไม่สำเร็จเนื่องจากปัญหาเกี่ยวกับนาซี เวลาต่อมาหุ้นในบริษัท Hertie เริ่มมีปัญหา เนื่องจากผู้ร่วมหุ้นส่วนมากเป็นชาวยิว



ในปี 1943 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบินของอเมริกาได้ชนเข้ากับตัวห้าง ทำให้ห้างทั้งห้างถูกไฟไหม้ตั้งแต่ชั้นบนสุดจนถึงล่างสุด จึงได้ปรับปรุงและสร้างใหม่จนสามารถเปิดบริการได้อีกครั้งในปี 1950 ( เพียง 2 ชั้นล่าง ) และก่อสร้างซ่อมแซมจนมีทั้งหมด 7 ชั้นสมบูรณ์ในปี 1956 และค่อยๆ ขยายพื้นที่จาก 24,000 ตารางเมตร เป็น 44,000 ตารางเมตร ในปี 1978 และในปี 1996 ได้เพิ่มเป็น 60,000 ตารางเมตร จนปัจจุบันมีลูกค้าเข้าใช้บริการห้างนี้วันละประมาณ 40,000 - 50,000 คน
ชั้นต่างๆ ในตัวห้าง
LG ชั้นเครื่องเขียน
EG เครื่องสำอาง สกินแคร์ น้ำหอม สปาเล็บและเท้า
ชั้น 1 เครื่องแต่งกายบุรุษ เช่น D&G Ermenegildo Zegna Fratelli Rossetti Giorgio Armani Hugo
ชั้น 2 เครื่องแต่งกายสตรี เช่น Cheap Monday Guess Moschino Seeberger Vivienne Westwood

ชั้น 3 เครื่องแต่งกายเสื้อผ้าเด็ก ชุดชั้นใน
ชั้น 4 อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน
ชั้น 5 ร้านหนังสือ ร้านซีดี อุปกรณ์ดิจิตอล
ชั้น 6 ซุปเปอร์มาร์เก็ต
ชั้น 7 ภัตตาคารร้านอาหาร





เวลาเปิดปิดของห้าง KaDeWe
จันทร์ - พุธ 10 โมงเช้า - 2 ทุ่ม
พฤหัสบดี - ศุกร์ 10 โมงเช้า - 4 ทุ่ม
เสาร์ 9 โมงครึ่ง - 4 ทุ่ม
อาทิตย์ ปิด

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ภารกิจเด็กเตรียมเอ็น.

สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมตัวก่อนเป็นเด็กเอ็น.เพื่อนๆลองมาดูขึ้นตอนการเตรียมตัวของอีฟกันนะค่ะ เผื่อเพื่อนๆจะเอาไปเปลี่ยนแปลงใช้กับตนเองกันดู เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเองนะค่ะ.

1. เราต้อง ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวางแผนตัวเอง.ลองหยิบกระดาษมาหนึ่งใบแล้วรองเขียนว่าในเจ็ดวันเสาร์-อาทิตย์ในเวลาเหล่านั้นเราต้องทำอะไรบ้างแล้วลองเช็คเวลาที่เราชอบอ่านหนังสือ เหมือนกับว่าเราทำตารางประจำวันนะค่ะ ลองเขียนคราวๆก่อน เช่นทุกวันเสาร์ว่าง 13.00 - 16.00 เป็นต้น

2. เราต้อง รู้ตัวเอง และมีเป้าหมาย.เราพลิกกระดาษไปอีกด้านเพื่อความไม่เปลืองทรัพยากรธรรมชาติ เขียนลงไปเลยว่าอยากเรียนอะไรแต่ต้องแบ่งให้เป็นส่วนๆ อย่าเขียนลกนะเดี๋ยวพอตอนรวมจะสับสนนะค่ะ

3. เราต้อง ตรวจสอบดูว่าเราอ่อนวิชาไหน แล้วเราต้องการแข็งวิชาไหนเป็นพิเศษ.ลองหยิบกระดาษมาอีกใบ แล้วเขียนลงไปเลยว่าวิชาที่เราต้องอ่านมีวิชาอะไรบ้างลิสต์เป็นรายการๆเลยอย่างเช่น อีฟเรียนแผนการเรียน ศิล-คำนวณ และ คณะที่ต้องการเข้าก็เป็นสายศิลป์ซะส่วนมากก็จะเน้น สังคม - ภาษาไทย ที่จะต้องอ่านมากกว่าวิชาอื่นๆ

4. เราต้องตรวจนับวันเวลาที่หลงเหลืออยู่ให้เราได้เตรียมตัวกับมัน.พลิกกระดาษด้านหลังอีกใบ แล้วนับวันเวลาก่อนถึงวันสอบ o-net ว่ามีกี่วันอาจจะนับทุกวันหรือจะนับแค่คราวตัดออกบางส่วนเพื่อเราไม่ได้อ่าน เพราะอาจจะมีบ้างวันที่เราต้องติดธุระจริงๆ

5. เราต้องจัดเตรียมหนังสือทังหมดที่เราต้องการ.หยิบกระดาษอีกทีหรือถ้ามีที่ว่างก็ใช้ได้นะ เช็ควันเวลาวิชาทั้งหมดว่าเหลือเวลากี่วันถึงจะอ่านหนังสือที่เราต้องการรับรู้มันให้หมดทันเวลา เช่น มีเวลา 10 วัน อ่าน 3 วิชา วิชาแรก 2 หน้า วิชาที่สอง 3 หน้า วิชาที่สาม 3 หน้ารวมต้องอ่านหนังสือ 8 หน้า ภายใน 10 วัน นับ วันไปหารกับหน้าหนังสือที่เราต้องอ่านก็จะได้หน้าที่ต้องอ่านต่อวันค่ะโดยการอ่านเราสามารถแยกได้คืออ่านวิชาเดียวให้จบทีเดียวคือทยอยอ่านทีละวิชา กับ อ่านคละๆกันให้จบพร้อมกันค่ะขึ้นอยู่กับความชอบความถนัดของแต่ละคนนะค่ะ

6. เราต้องมีอาวุธเครื่องเขียนำคัญคู่การ.ปากกาน้ำเงิน ปากกาแดง ปากกาสี ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด เตรียมมันให้หมดค่ะเพราะมันเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้เราพิชิตความฝันได้ค่ะ.

7. เราต้องจัดการสิ่งที่เราเขียนเมื่อกี้รวมไว้เป็นแผนเดียวกัน.เขียนเป็นตารางเลย วิชาที่ต้องอ่านมีอะไรบ้าง วิชาหนึ่งมีเวลาอ่านกี่วันวันหนึ่งต้องอ่านวิชาอะไรบ้าง ข้อความเตือนใจที่จะเป็นแรงปลุกใจ คณะที่ชอบ หรือ ข้อความให้แรงบรรดาลใจ เขียนมันไปเลยค่ะ.

8. ลงมือทำ.ข้อนี้ยากใช่ไหมค่ะ แต่เราต้องทำค่ะ ทำในให้ได้ ค่อยๆทำวันไหนอ่านไม่ไหวก็พักแต่เราก็มองไปที่ข้อความบรรดาลใจในกระดาษใบนั้น แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆนอนพักแล้วพรุ่งนี้ก็เริ่มใหม่นะค่ะ.

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จำให้เป็นจังหวะ ยังไงก็ไม่ลืม



แปลกนะ ทั้งๆ ที่เนื้อหา หรืออย่างอื่นก็จำไม่ค่อยได้ แต่ถ้าเป็นเพลงหรือท่องอะไรที่เป็นจังหวะ เรายังจำได้ถึงทุกวันนี้ แถมจำได้เร็วกว่าท่องธรรมดาด้วยซ้ำ

นั่นเพราะการจำด้วยจังหวะ หรือทำนอง เกิดจากสมองส่วนความรู้สึกซึ่งลืมยากค่ะ ถ้าเกิดอยากจะจำอะไรให้ได้นานๆ ก็ลองใส่เป็นเพลงหรือเป็นทำนองเข้าไป อย่างตอนอนุบาลที่เราท่อง A-Z หรือ ก-ฮ แล้วใส่ทำนองหรือร้องเป็นเพลงไปด้วย น้องๆจะรู้สึกว่าง่ายและสนุก และจำพยัญชนะทั้งหมดได้เร็วกว่าท่องเฉยๆใช่ไหมคะ

ที่สำคัญ จังหวะก็คืออาการนั่นเองค่ะ ซึ่งการจำเป็นอาการจะไม่ค่อยลืมกัน อย่างเช่น น้องที่ขี่จักรยาน หรือว่ายน้ำ ถ้าเล่นหรือทำเป็นประจำจนจำได้ ต่อให้เลิกไปนานแค่ไหน กลับมาเล่นอีกทีก็ยังเล่นได้อยู่ ซึ่งตรงนี้สำคัญมากนะคะ เพราะถ้าเราไปจำมาผิดๆ แล้วสมองเราบันทึกถาวรไปแล้ว เวลาจะไปลบออก ทำได้ยากมากนะนั่น !!!

อย่างน้องๆ หลายคนตอนนี้ เวลาจำสูตรเลข สูตรเคมี สูตรฟิสิกส์ จำเนื้อหา จำศัพท์ ก็จำแบบเป็นเพลง ใส่ทำนองกันแล้ว พี่แนนฟังแล้วบางทีสนุกกว่าเพลงนักร้องอาชีพอีก แต่มีเนื้อหาสาระออกสอบทั้งนั้นเลย อิอิ ขนาดโฆษณาในโทรทัศน์ เค้ายังทำทำนองใส่เบอร์โทรศัพท์ ทำให้จำง่ายกว่าท่องตัวเลข 9 ตัว ฟังแป๊บเดียวก็จำได้แล้ว แต่ดันจำไม่ได้ว่าเบอร์โทรศัพท์ของอะไรนี่สิ
การจำเป็นจังหวะ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้การจำเรื่องอะไรสักเรื่องให้ง่ายขึ้น แถมจำได้ไวกว่าการจำในแบบปกติ ซึ่งตอนนี้ก็นิยมใช้กันเยอะเลย ชาวเด็กดีลองนำไปใช้กันดูนะคะ หรือใครมีการท่องจำอะไรให้เป็นจังหวะหรือร้องกันเพลงเพลง หรือใครยังจำอะไรที่นานมากๆ แล้วได้ ลองมาคุยกันนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สปาที่ฮังการี ดูดีที่สุดในโลก !

ฮังการีเป็นประเทศที่อยู่ในยุโรปตะวันออกซึ่งเพิ่งจะเปิดกว้างสู่โลกภายนอกมาเมื่อไม่นานนี้ (หลังจากที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย) มีเมืองหลวงที่มีชื่อว่าบูดาเปสต์ สิ่งหนึ่งในบูดาเปสต์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมากเห็นจะเป็นบ่อน้ำพุร้อน เนื่องจากมีจำนวนเยอะมากจนได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีบ่อน้ำพุร้อนมากที่สุดในโลกเพราะมีมากกว่า 120 บ่อ จนได้รับสมญานามว่า "เมืองแห่งสปา"

ไหนๆ ก็มาถึงเมืองแห่งสปาแล้ว ก็พลาดไม่ได้ที่จะไปเยือนสปาที่ได้ชื่อว่าทั้งใหญ่และสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลกที่ Gellért Spa (เกลเลิท สปา) เปิดให้บริการตั้งแต่ปี ค.ศ.1918 โดยเริ่มก่อตั้งเป็นโรงแรมเอกชน ซึ่งในปัจจุบันยังแบ่งส่วนเป็นโรงพยาบาลที่ช่วยรักษาคนไข้ในการมาพักฟื้นใช้สปาบำบัดอีกด้วย ว่ากันว่ารัฐบาลฮังการีนั้นจะจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งให้กับประชาชนว่าในรอบ 1 ปี หากใครต้องการใช้สปาบำบัด ก็สามารถเข้ามาใช้บริการฟรีๆ ได้ภายในวงเงินที่กำหนด

เรียกได้ว่าถ้าใครได้มาใช้บริการ ก็เป็นต้องอึ้งกับความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่ถูกตกแต่งไว้อย่างงดงามกันทุกราย ด้านในนั้นมีน้ำจากบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติมากถึง 11 บ่อที่หมุนเวียนให้บริการลูกค้า โดยเป็นน้ำในบ่อนั้นเป็นน้ำแร่ธรรมชาติจากเทือกเขาเกลเลิทนั่นเอง ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าอยากจะแหวกว่ายแบบ Indoor หรือ Outdoor
ขอบอกว่าไม่ได้มีแค่สปาบ่อน้ำพุร้อนเท่านั้น ยังมีร้านเสริมสวย คลีนิคทำฟัน อาหารบุฟเฟ่ต์ นวดแผนโบราณรวมถึงนวดแบบไทยๆ ไว้คอยบริการอีกด้วย แต่ราคาเห็นแล้วต้องขอแอบโบกมืออำลาชั่วคราว เพราะอยู่ที่ชั่วโมงละ 10,000 ฮังการีโฟรินท์ หรือประมาณเกือบๆ 1,800 บาท

สำหรับเวลาเปิดปิดนั้น เปิดบริการตั้งแต่ 6โมงเช้าถึง 1 ทุ่มในวันธรรมดา แต่สำหรับวันเสาร์-อาทิตย์จะเปิดถึง 6 โมงเย็นเท่านั้นค่ะ ส่วนค่าเข้านั้นอยู่ที่ 3,100 ฮังการีโฟรินท์ หรือประมาณ 13 ยูโร (ประมาณ 600 กว่าบาท) สำหรับบรรยากาศดีๆ ภายใต้สถาปัตยกรรมสวยๆ อย่างนี้ถือว่าไม่แพงเลยล่ะ

หน้าหนาวอย่างนี้ การลงไปนอนแช่เล่นในบ่อน้ำพุร้อนถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่น่าพลาด แต่จะให้บินไปถึงฮังการีเลยก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้นลองหาเวลาว่างในวันหยุดนอนแช่ในน้ำอุ่นสบายๆ ดูละกันนะคะ