วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วินเซนต์ แวน โก๊ะ (Vincent Van Gogh )


วินเซนต์ แวน โก๊ะ ถูกยกย่องให้เป็นจิตรกรชาวดัชท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถึงแม้ว่าชื่อเสียง ของเขาเพิ่งจะมาโด่งดังเอาในช่วง 3 ปีสุดท้ายของชีวิตการเป็นจิตรกรตลอด 10 ปี ก็ตาม แต่เขาก็ได้สร้างอิทธิพลต่อ ศิลปะแบบอิมเพรสเช่นนิสท์ แบบโมเดินท์ อารต์ เอาไว้มากมาย สร้างผลงานภาพเขียนสีน้ำมันกว่า 800 ภาพ และภาพวาดอีกกว่า 700 ภาพ ซึ่งตลอดชีวิตของเขานั้นมีเพียงภาพเดียวที่ขายได้ ความเจ็บป่วยทางสมอง และจิตใจของ แวน โก๊ะนั้นแสดงออกมาทางภาพที่เขาเขียน ด้วยการใช้สีอันร้อนแรง การปัดพู่กันแบบหยาบๆ และรูปแบบของลายเส้นที่ใช้จนในที่สุดก็ได้ผลักดันให้เขา จบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย

วินเซนต์ แวน โก๊ะ เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ปี ค.ศ. 1853 ที่ซันเดิรท์ ย่านบราแบรนท์ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ วินเซนต์เป็นบุตรชายคนโต บิดาเป็นนักบวชนิกาย โปรแตสแตนท์ เมื่อแวนโก๊ะอายุได้ 16 ปี เขาได้ไปฝึกงานขายภาพศิลปะที่ฮูเก้นท์ เขาทำงานขายภาพทั้งในลอนดอน และปารีสไปจนกระทั่งถึงปีค.ศ. 1876

ผลงานของเขา

Starry Night Over The Rhone

วินเซนต์ แวน โก๊ะ ได้ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีเต็มในการเขียนรูป " Starry Night " ขึ้นมาภาพนี้ได้ แสดงถึงภาพของดวงดาวที่ส่องแสงเจิดจรัสท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืน เพื่ออวดรัศมีแข่งกับแสงสว่างอันจอมปลอมที่ส่องจากตึกรามบ้านช่องบนริมฝั่งของแม่น้ำ ภาพของหนุ่มสาวที่เดินเคียงคู่กันในด้านหน้าของภาพนั้นคล้ายกับภาพของคู่หนุ่มสาวในภาพ " Landscape with Couple Walking and Crescent Moon " ภาพทั้งสองภาพนี้ วินเซนต์ได้เขียนรูปชายที่เดินเคียงข้างหญิงสาวผู้นั้น แทนตัวของเขาเอง โดยสามารถสังเกตได้จากผมของชายในภาพซึ่งเป็นสีแดงเหมือนกับผมของตัวเขาแต่ต่างกันที่ในชีวิต จริงของวินเซนต์แล้ว เขาหาได้มีหญิงสาวใดมาเดินเคียงข้างเขาไม่

The Starry Night

ภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบ สถานที่แสดง Modern Art เมืองนิวยอร์ก
วินเซนต์ได้กล่าวถึงภาพ " Starry Night " นี้ว่า "ฉันกำลังประสบกับปัญหาอย่างมากใน การเขียนภาพของยามค่ำคืน ถ้าพูดให้ถูกแล้วก็คือ การถ่ายถอดภาพลงบนผืนผ้าในเวลากลางคืนก็ได้ " ภาพของแสงสีในยามค่ำคืนนั้น เป็นภาพที่เขาใฝ่ฝันอยากเขียนขึ้นและความฝันของเขาก็ได้กลายมาเป็นความจริง เมื่อเขาตัดสินใจย้ายมา อยู่ที่เมืองอาเรส ในเดือนกุมภาพันธ์ของปี ค.ศ. 1888 ในจดหมายเขาได้กล่าวไว้ว่า " ในชีวิตของจิตกรแล้ว ความตายอาจไม่ใช่ความยากลำบากที่สุดในชีวิต ฉันสามารถพูดได้ว่า ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย แต่เมื่อฉันได้มองดูดวงดาวแล้ว ฉันก็เริ่มนึกคิดจุดดำมืดที่แสดง ถึงภาพของเมือง และหมู่บ้านในแผนที่ ทำให้ฉันคิดว่าทำไมมนุษย์เราถึงได้ให้ความสำคัญของ จุดดำมืดที่อยู่บนแผนที่ของฝรั่งเศษ มากไปกว่า แสงสว่างอันแท้จริงที่ส่องตรงมาจากสวรรค์ มันก็คงเหมือนกับการที่เราเลือกไป รถไฟเพื่อจะไปยังทาราสคอน หรือโรน หรือเราจะเลือก เอาความตายเพื่อจะไปให้ถึงดวงดาวบนฟ้านั่น "


Vincent’s Bedroom
ตั้งแต่วินเซนต์ได้ทราบข่าวจากโกแกง ว่าเขาจะเดินทางมาร่วมกับ วินเซนต์ที่บ้านสีเหลืองนี้ วินเซนต์ก็ได้จัดเตรียมทุกอย่างเพื่อคอย การมาของเพื่อนของเขา เขาตกแต่งบ้านเสียใหม่โดยเขียนภาพอีก หลายภาพขึ้นเพื่อใช้ตกแต่งฝาผนัง และห้องนอนของโกแกง ภาพห้องนอนของวินเซนต์นี้ เมื่อตอนที่เขาอยู่ที่เซนต์เรมี ได้สร้างภาพจำลองขึ้น อีกสองภาพจากภาพต้นฉบับจริงที่เขาเขียนขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมของ ปี ค.ศ.1888 ในขณะที่เขากำลังรอคอยให้โกแกงมาพักอยู่ด้วย วินเซนต์ได้ยกย่องให้ภาพนี้เป็นหนึ่ง ในภาพที่ดีที่สุดของเขา โดยได้เขียนบรรยายไว้ในจดหมายถึง ธีโอพี่ชายของเขาว่า " ถ้าจะให้พูดถึงภาพนี้แล้ว การได้มองดูภาพนี้ก็เปรียบเสมือนการได้พักผ่อนสมอง และปลดปล่อยจินตนาการให้เพ้อฝันไกลออกไป " ภาพห้องนอนของวินเซนต์ได้กลายมา เป็นภาพที่มีชื่อเสียงในทางศิลปะ ความเรียบง่ายของภาพ แสดงให้เห็นถึง ครรลองของชีวิตที่สมถะ และเรียบง่าย หรือในอีกแง่หนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า ภาพนี้ได้แสดงถึงมุมมองของ ศิลปินในยุคโรแมนติคผู้หนึ่ง ซึ่งอุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อทุ่มเทให้กับงานศิลปะเท่านั้น


Vegetable Gardens in Montmartre
วาดในปี ค.ศ.1887
ขนาดภาพ 96 x 120 ซม.






The White House at Night
วาดในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1890
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบ
ขนาดภาพ 59 x 72.5 ซม.





The Potato Eaters
วาดในปี ค.ศ.1885เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบ
ขนาดภาพ 81.5 x 114.5 ซม.
สถานที่แสดง Rijksmuseum Vincent van Goghเมือง Amsterdam





The night cafe
วาดเมื่อปี ค.ศ.1888
สถานที่แสดง Yale University Art Gallery





La chambre de Van Gogh Arles(Van Gogh's Room at Arles)
วาดเมื่อปี ค.ศ.1889
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบขนาดภาพ 57 x 74 ซม.
สถานที่แสดง Musee d'Orsay




Entrance to the Public Garden in Arles
วาดเมื่อปี ค.ศ.1888
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบขนาด 72.5 x 91 ซม.
สถานที่ The Phillips Collectionเมือง Washington, D.C. .





Self-Portrait with Bandaged Ear
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1889
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าใบขนาด 60 x 49 ซม.
สถานที่แสดง Courtauld Institute Galleriesกรุงลอนดอน







Trees in the Asylum Garden
วาดภาพเมื่อปี ค.ศ.1889
เป็นภาพวาดสีน้ำมันบนพื้นผ้าใบขนาดภาพ 73 x 60 ซม.
ประเทศสหรัฐอเมริกา



วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553

10 ห้องโปรดในโรงเรียน ที่นักเรียนชอบเข้า



1.ห้องดนตรี - ห้องแห่งเสียงเพลงและทำนอง สำหรับคนที่เรียนวิชาดนตรี ในที่นี้มีทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากลนะคะ ห้องดนตรีสากล จะออกแนวบันเทิง เป็นแหล่งฝึกฝนวิชากันไป ส่วนห้องดนตรีไทย ก็ต้องสงบๆ และเคารพกันนิดหนึ่ง

2.ห้องศิลปะ - ห้องนี้สำหรับสร้างสรรค์จินตนาการค่ะ บรรยากาศก็จะอิสระนิดๆ คนที่ชอบวาดนั่นนี่ เข้าห้องนี้แล้วสุขสุดๆ หรือใครเก็บกดอารมณ์อะไรมา แอบมาติสท์แตกในนี้ ก็ถือว่าถูกทาง

3.ห้องคอมพิวเตอร์ - จะชอบมากเวลาพัก หรือเวลาว่าง เพราะชอบเข้าเน็ตมาดูข่าวสารความเคลื่อนไหว ดูรูป ดูคลิปนักร้องสุดที่รัก หรือเข้ามาหาสังคมออนไลน์

4.ห้องโสตทัศนศึกษา - เรียนสั้นๆว่าห้องโสตฯ สำหรับวิชาที่ต้องดูวิดิโอหรือมีฉายสไลด์ บางครั้งเวลาว่างก็อาจขออาจารย์มาเปิดดูหนังดูอะไรพักผ่อนได้บ้าง ยิ่งถ้ามีชุมนุมโสตฯด้วยละก็ จะเป็นชุมนุมที่คนเต็มไวที่สุดเลยไม่รู้ทำไม

5.ห้องพยาบาล - รู้สึกรุมๆ ตัวร้อนๆ ก็แวะไปห้องนี้สักหน่อย ได้กินยา หรือได้นอนพักในห้องนี้ แต่เห็นหลายคนอยากป่วย หรือทำตัวเหมือนป่วย ไปนอนบ่อยๆ


6.ห้องสมุด - ขึ้นชื่อว่าห้องสมุด ต้องรักษาความสงบเงียบอย่างเคร่งครัด เหมาะนักที่จะไปหาสมาธิ หลบลี้หนีจากผู้คน หรือแอบหลับตรงมุมชั้นวางหนังสือก็ยังได้

7.ห้องแลป - ห้องปฏิบัติการทางวิชาวิทยาศาสตร์ ดูน่าเรียนกว่าตอนจำสูตร จำสมการตั้งเยอะ

8.ห้องการงาน(ครัว) - โปรดสุดแล้วพี่น้อง ยิ่งห้องไหนมีวิชาการงานที่ต้องทำอาหาร พิฆาตคนทั้งโรงเรียนได้ด้วยกลิ่นอันหอมหวน จนอยากจะมาเกาะขอส่วนแบ่ง

9.ห้องแนะแนว - ห้องนี้จะได้รับความนิยมสูงสุดจากเด็ก ม.ปลายที่เตรียมแอดมิชชั่น เพราะต้องเข้าไปขอคำปรึกษาจากอาจารย์ในหลายๆเรื่อง บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเรียนซะทีเดียว แต่เป็นเหมือนห้องปรึกษาปัญหาชีวิตของนักเรียนเลยหล่ะ

10.ห้องน้ำ - พลาดได้ยังไงห้องนี้ ประหนึ่งห้องแห่งสวรรค์ ถ้าไม่มี...ชีวิตนี้คงเศร้า พวกเราจะไปปลดทุกข์กันที่ไหน บางทีก็แอบไปตรวจความเรียบร้อยบนใบหน้า ส่องกระจก โบ๊ะแป้งแต่งหล่อ

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

7 เส้นทางตามล่าหาความสำเร็จ


“How to be successful - ทำอย่างไรจึงประสบความสำเร็จ”

1. เริ่มต้นจากพื้นฐานง่ายๆ เช่น ความตั้งใจ ความพยายาม เป้าหมาย และความมุ่งมั่น ไม่ว่าอะไรก็ตามเราต้องทำให้สำเร็จตามความต้องการทุกอย่าง ถ้ายังไม่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ห้ามท้อถ้อยเป็นอันขาด

2. ความสำเร็จไม่ได้มากับความตั้งใจอย่างเดียว จะต้องมีความยึดมั่นด้วย คือ ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งเดียวมันยังไม่ค่อยจะเห็นผลนัก ต้องทำซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง จนกว่าจะเห็นผล

3. ถ้าเราพยายามที่สุดแล้วเรายังไม่สามารถทำได้สำเร็จได้ ช่วงแรกๆพยายามหลีกเลี่ยงการทำสิ่งเหล่านั้นในที่สาธารณะ ในชั้นเรียน หรืออะไรก็แล้วแต่ ดังนั้นเมื่อคุณอยู่กับตัวเอง จงหมั่นฝึกฝนจนกว่าเราก็จะทำมันได้ดีในที่สุด

4. พยายามให้ถึงที่สุด อย่ายอมแพ้เป็นอันขาด ถ้ายอมล้มเลิกกลางคันเราจะไม่มีวันได้รู้จักคำว่าประสบความสำเร็จเลยแม่แต่วันเดียว

5. ต้องพยายามเอาตัวเองเข้าไปสู่ที่ที่แวดล้อมด้วยคนที่ประสบความสำเร็จ เมื่อเราอยู่ท่ามกลางคนที่ประสบความสำเร็จเราก็จะมีแรงผลักดันที่มากขึ้น และมันจะสนับสนุนให้เราประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น

6. เริ่มจัดทำแผนการ คือ ความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ “เกิดขึ้น” กับใครคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่แค่คิดแต่ต้องบังคับตัวเองให้ทำตามแผนการที่จะนำไปสู่ความสำเร็จด้วย

7. รวบรวมความรู้และข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องที่เราอยากจะประสบความสำเร็จให้ได้มากที่สุด ฟัง ศึกษา ทำความเข้าใจ เรียนรู้ เพราะความรู้คือพลังที่จะนำเราไปสู่ความสำร็จได้