วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

6 เทคโนโลยีระดับโลก ที่ถูก "แบน"

อิสราเอล VS iPad




อาจจะเคยได้ยินข่าวที่ว่า ประเทศอิสราเอลมีการสั่งแบน iPad โดยให้เหตุผลว่าสัญญาณไร้สายของ iPad อาจจะไปรบกวนสัญญาณของเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ ซึ่งก็ทำทำความลำบากให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติมากๆ เพราะใครที่นำ iPad เข้ามาในอิสราเอล จะถูกเจ้าหน้าที่ยึดเอาไว้ โดยจะต้องเสียค่าเก็บรักษา iPad วันละ 12 USD หรือวันละ 360 บาท และจะได้รับคืนเมื่อตอนเดินทางออกจากอิสราเอลเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็สร้างความไม่พอใจให้แก่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก จนในที่สุดอิสราเอลก็ได้ประกาศยกเลิกการแบน iPad รวมถึงก็ได้มีการเปิดตัว iPad ในอิสราเอลอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ



ออสเตรเลีย VS เลเซอร์


เวลาที่เราพรีเซนต์งานหน้าชั้นเรียน บางคนอาจจะใช้ Laser Pointer หรือปากกาเลเซอร์แท่งเล็กๆ ชี้ไปยังจุดบนสไลด์ที่ต้องการเน้น หรือเวลาที่เราจะชี้ใครซักคนที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนจำนวนมากให้เพื่อนดู ก็อาจจะใช้ปากกาเลเซอร์นี้ชี้ไปที่คนๆ นั้นก็ได้ นั่นคือประโยชน์ของเลเซอร์ค่ะ แต่เมื่อปี 2008 ที่ประเทศออสเตรเลีย ทางรัฐบาลได้ออกมาสั่งห้ามใช้เลเซอร์ที่มีพลังสูงเด็ดขาด สาเหตุก็มาจากว่า ขณะที่เครื่องบินลำหนึ่งออกเดินทางจากเมืองแครนส์ไปยังซิดนีย์ ระหว่าทางได้ถูกโจมตีด้วยเลเซอร์กำลังสูงโดยมีผู้ไม่ประสงค์ดีได้ยิงแสงเลเซอร์เข้ามาทางห้องนักบิน ทำให้นักบินเกิดอาการวิงเวียนและมองไม่เห็นเส้นทางการบิน ซึ่งแน่นอนว่า หากนักบินไม่ชำนาญพอ อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้


ปากีสถาน VS Facebook


เมื่อปีที่แล้ว สมาชิกกลุ่มหนึ่งใน Facebook ซึ่งเป็น Social Network ระดับโลก ได้จัดประกวดวาด ภาพ "Everybody Draw Muhammad Day!" ซึ่งก็คือการประกวดวาดภาพล้อเลียนท่านนบีมูฮัมมัดซึ่งเป็นศาสดาของศาสนาอิสลามที่ชาวปากีสถานนับถือ ทำให้ชาวปากีสถานกลุ่มหนึ่งไม่พอใจมากที่ Facebook ละเลยและปล่อยให้มีการประกวดอะไรแบบนี้ ในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ชาวปากีสถานได้ตั้งกลุ่มประท้วง Facebook และนำเรื่องเข้าสู่ศาล ในที่สุดศาลปากีสถานได้มีคำสั่งบล็อก Facebook ทั่วประเทศปากีสถานด้วยข้อหามีเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ภายหลังเจ้าหน้าที่ของ Facebook ได้ออกมาขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ปากีสถานจึงได้ทำการยกเลิกการบล็อก Facebook


อาหรับเอมิเรตส์และซาอุดิอาระเบีย VS Blackberry


เป็นอีกประเด็นที่มีคนกล่าวถึงอย่างมากในช่วงปีก่อน กับข่าวที่ว่าประเทศในตะวันออกกลางเช่น อาหรับเอมิเรตส์และซาอุดิอาระเบีย ได้ประกาศห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ Blackberry ในประเทศ สาเหตุก็มาจากว่า เวลาที่เราแชทบน Blackberry นั้น ไม่มีใครรู้ว่าข้อความต่างๆ ที่แชทนั้น มีแหล่งเก็บไว้ที่ไหน นับว่าเสี่ยงและอาจเป็นอันตรายต่อการเมืองและความปลอดภัยของประเทศ เพราะผู้ก่อการร้ายอาจจะสื่อสารกันผ่านการแชทบน Blackberry ก็เป็นได้


คิวบา VS โทรศัพท์มือถือ



ถ้าพูดถึงประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์สุดโต่งของโลก 2 ประเทศที่จะต้องผุดขึ้นมาในความคิดก็คือเกาหลีเหนือและคิวบา และอาจจะเป็นความโชคดีของคนคิวบาก็ว่าได้ เพราะเมื่อสมัยที่ฟิเดล คาสโตรเป็นผู้นำประเทศนั้น เค้าได้ออกกฏข้อบังคับเพื่อควบคุมการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รวมถึงโทรศัพท์มือถือ หรืออาจจะเรียกได้ว่าสมัยก่อนนั้น คนคิวบาแทบไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ ! จะมีใช้ก็แต่พวกคนระดับสูงหรือพนักงานบริษัทต่างชาติเท่านั้น แต่เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2008 ฟิเดล คาสโตรได้ลาออกจากตำแหน่งและให้ราอูล คาสโตร ผู้เป็นน้องชายขึ้นรับตำแหน่งผู้นำแทน โดยราอูล คาสโตรได้ทำการยกเลิกข้อบังคับควบคุมการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ และแน่นอนว่า ในปี 2008 คือปีแรกที่คนคิวบาสามารถหาซื้อโทรศัพท์มือถือเพื่อนำมาใช้งานส่วนตัวได้



อเมริกา VS iPod


ในปี 2007 USA Track & Field ซึ่งเป็นสำนักงานของรัฐบาลอเมริกาที่เกี่ยวข้องกับกีฬาประเภทวิ่ง ได้ออกกฏสั่งแบน iPod รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการฟังเพลงต่างๆ ในการแข่งขันวิ่งทุกประเภท โดยให้เหตุผลว่า หากนักกีฬาวิ่งไปฟังเพลงไป อาจจะไม่ได้ยินเสียงคำสั่งจากรอบด้านและอาจจะก่อให้เกิดอันตรายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแน่นอนว่านักกีฬาและคนที่รักการออกกำลังกายออกมาแสดงความไม่พอใจกฏนี้ จนในปี 2008 USA Track & Field ได้ผ่อนผันกฏโดยอนุญาตให้ใช้อุปกรณ์ในการฟังเพลงได้เฉพาะในการแข่งขันรอบที่ไม่มีการเก็บคะแนน

วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

อึ้ง !!! 4 พิพิธภัณฑ์ที่แปลกที่สุดในโลก

Meguro Parasitological Museum พิพิธภัณฑ์พยาธิ


แหม แค่ฟังชื่อก็น่าจับกิน ไม่ใช่ละ น่าขยะแขยงขนลุกกันเลยทีเดียว ! ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะคะว่าในโลกนี้จะมีพิพิธภัณฑ์อะไรแบบนี้ด้วย พิพิธภัณฑ์พยาธิ(แห่งเดียวในโลก) ที่ว่านี้ตั้งอยู่ในเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ในพิพิธภัณฑ์ก็จะมีจัดแสดงพยาธิปรสิตชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพยาธิในคนหรือสัตว์ ก็มีมาให้เลือกชิม เอ๊ย เลือกชมครบแทบทุกชนิด แถมมีของจริงให้ดูด้วย !! (แต่แช่อยู่ในขวดโหลนะ) และยังมีการสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของโรคที่เกิดจากพยาธิและวิธีเลือกทานอาหารให้ถูกต้องปลอดภัยจากพยาธิ ใครชอบกินของสุกๆ ดิบๆ คงต้องหาโอกาสไปชมพิพิธภัณฑ์นี้กันหน่อยแล้วล่ะค่ะ

นอกจากนี้ก็ยังมีของที่ระลึกขาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กระเป๋า หรือที่ห้อยมือถือลายพยาธิในราคาที่ไม่แพงเกินไป ^^ ส่วนใครอยากไปชมนั้น ค่าเข้าชมฟรีค่ะ แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่า หลังจากไปมาแล้ว อาจจะกินถั่วงอกหรือพวกเส้นอูด้งราเม็งไม่ลงไปอีกนาน !

Museum of Bad Art พิพิธภัณฑ์งานศิลปะห่วย


ที่แห่งนี้มีคำขวัญประจำพิพิธภัณฑ์ว่า Art too bad to be ignored หรือแปลได้ง่ายๆ ว่า งานศิลปะบางอย่างถึงจะห่วย แต่ก็ไม่ควรที่จะเพิกเฉยหรือทิ้งไป จึงเป็นที่มาของการรวบรวมงานศิลปะกว่า 500 ชิ้นที่สื่อออกมาในแง่แปลกๆ หรือใช้สีฉูดฉาดที่ไม่เข้ากัน รวมไว้ที่พิพิธภัณฑ์งานศิลปะห่วยในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นี่เริ่มก่อตั้งในปี 1994 ผู้ก่อตั้งคือสกอตต์ วิลสัน เขารวบรวมงานศิลปะห่วยๆ ที่โดนลงทิ้งถังขยะ จนเพื่อนสนิทของเขาแนะนำให้ลองเก็บสะสมเอาไว้ จนในที่สุดผลงานจากขยะที่เขาเก็บได้ก็มีปริมาณมากพอที่จะนำมาจัดแสดง นอกจากนี้ในพิพิธภัณฑ์ยังได้มีการนำเอารูปวาดงานศิลปะเหล่านั้นมาสกรีนเป็นลายบนเสื้อยืดเพื่อขายให้แก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย

Hair Museum พิพิธภัณฑ์เส้นผม

ในปี 1979 ช่างปั้นหม้อชาวตุรกีชื่อกาลิป ได้เกิดความคิดที่จะเก็บรวบรวมเส้นผมของผู้หญิงและตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาที่เมืองอวาโนส ประเทศตุรกี สาเหตุก็เนื่องมาจาก เค้าอยากให้มีคนสนใจพิพิธภัณฑ์เส้นผมแห่งนี้ เผื่อจะได้สนใจงานเซรามิคของเค้าด้วย(เข้าใจคิดแฮะ) จนถึงปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีเส้นผมของผู้หญิงจากทั่วโลกมากกว่า 16,000 คน (จากคนเป็นๆ นะคะ ไม่ต้องกลัว 555) นักท่องเที่ยวบางคนเดินๆ ชมพิธภัณฑ์นี้อยู่ดีๆ ก็ลงทุนตัดผมของตัวเองกันตรงนั้นเพื่ออยากให้ผมของตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์นี้บ้าง

นอกจากนี้กาลิปยังได้เปิดเกสต์เฮาส์ในบริเวณพิพิธภัณฑ์ เพื่อเป็นที่พักให้แก่ผู้ที่สนใจที่จะชมพิพิธภัณฑ์เส้นผมนี้อย่างจริงๆ จังๆ โดยค่าพักอยู่ที่คืนละประมาณ 12-20 ยูโร ไม่ใช่เล่นๆ นะคะ เพราะในบางประเทศเช่น ฝรั่งเศส ถึงกับมีเอเจนซี่นายหน้าจัดทัวร์ไปชมพิพิธภัณฑ์นี้กันเลยทีเดียว



Sulabh International Museum of Toilets พิพิธภัณฑ์ห้องส้วม

พิพิธภัณฑ์ส้วมแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่เมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย มองเผินๆ นี่หลายคนอาจจะนึกว่าเป็นร้านขายสุขภัณฑ์อะไรทำนองนั้น แต่ที่นี่เค้ารวบรวมโถส้วมและชักโครกแบบต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หลายๆ แบบจากทั่วโลก โดยผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ ด็อกเตอร์ Bindeshwar Pathak เป็นหนึ่งในอาสาสมัครของมูลนิธิ NGO ของอินเดีย เขามีความสนใจที่จะศึกษาและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการออกแบบส้วมที่แตกต่างกันไปตามแต่ละวัฒนธรรมของประเทศ จนเป็นที่มาของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั่นเองค่ะ ซึ่งด็อกเตอร์ Bindeshwar Pathak กล่าวว่าพิพิธภัณฑ์ส้วมแห่งนี้ก็ไม่ต่างจากห้องเรียนดีๆ นั่นเองค่ะ เพราะเด็กนักเรียนที่มาชมจะได้ความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของส้วม องค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ จะสามารถเข้าใจถึงวัฒนธรรมของบรรพบุรุษของชนชาติต่างๆ ในอดีตว่าใช้ชีวิตกันยังไง รวมถึงผู้สนใจทั่วไปหากได้มาชมพิพิธภัณฑ์นี้ อาจได้ไอเดียใหม่ๆ ในการตกแต่งห้องน้ำก็เป็นได้ (ขนาดนั้นเลยทีเดียว)

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ผลประเมินจากทั่วโลก เด็กชาติไหนเรียนเก่งที่สุด

สำหรับคะแนนการประเมินผลนักเรียนระดับนานาชาตินี้ เป็นโครงการที่มีชื่อว่า PISA [Program for International Student Asssesment] แปลตรงตัวก็คือโปรแกรมสำหรับประเมินนักเรียนต่างชาติ มีประเทศเข้าร่วมการประเมินทั้งหมด 65 ประเทศ ใช้นักเรียนในการประเมินทั้งหมด 470,000 คน

เนื้อหาของการประเมินประกอบด้วย 3 ส่วนคือ การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ และตอนนี้ผลการประเมินก็ออกมาเป็นที่เรียบร้อย อยากรู้มั้ยล่ะคะว่าเด็กไทยของเราคว้าที่เท่าไหร่มา ?

อันดับ 1 จีน(เซี่ยงไฮ้)

ได้ที่หนึ่งอย่างไม่ยากเย็นค่ะ อย่างที่เรารู้ๆ กันว่า ถ้าพูดถึงคนจีนเมื่อไหร่ เราก็จะนึกถึงความขยันกันเป็นอย่างแรก ไม่ว่าจะเป็นคนทำงานหรือนักเรียนเนี่ยก็จะขยันกันมากๆๆๆ ถ้าใครเคยไปเรียนเมืองนอกแล้วมีคนจีนเรียนอยู่ในคลาสด้วย ทุกคนจะบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยค่ะว่าเด็กจีนเก่งมากกกก ถึงไม่เก่งก็ขยันและพยายามสุดๆ ทำไม่ได้ก็จะทำให้ได้ ยังไงก็ต้องได้


อันดับ 2 เกาหลีใต้

นาทีนี้เกาหลีใต้เค้ามาแรงจริงๆ ค่ะ ไม่ใช่แค่เรื่องบันเทิง แต่เรื่องการเรียนก็ไม่เป็นรองใคร เพราะการเรียนของเกาหลีใต้เค้าจะมีจุดเด่นที่การเรียนพิเศษ บ้านเราว่าเราเรียนกันหนักแล้ว เกาหลีใต้หนักกว่าเยอะค่ะ การเรียนพิเศษแล้วเลิกเรียน 4-5 ทุ่มถือเป็นเรื่องธรรมดามาก ช่วงสอบยิ่งแล้วใหญ่ เลิกตี 2 ตี 3 กันเป็นว่าเล่น ฟังแล้วก็เหนื่อยแทน แต่เห็นผลประเมินระดับนานาชาติออกมาได้ที่ 2 แบบนี้ ต้องขอคารวะในความอึดจริงๆ ค่ะ

อันดับ 3 ฟินแลนด์

เป็นประเทศที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่คุ้นกันเท่าไหร่ แต่มาคว้าอันดับ 3 ไปอย่างนี้ ไม่ใช่ธรรมดาแล้วล่ะค่ะ ที่ฟินแลนด์เนี่ยเค้าจะให้ความสำคัญกับการศึกษามากๆ โดยเริ่มตั้งแต่ชั้นประถม นักเรียนแต่ละห้องจะมีแค่ไม่เกิน 20 คน แล้วจะให้เรียนไม่เกินวันละ 5 ชั่วโมงเท่านั้น (บ้านเรากี่ชั่วโมงหว่า 555) แต่เค้าจะเสริมด้วยกิจกรรมอื่นๆ ที่ช่วยพัฒนาทักษะเด็กแทน เพราะมีความเชื่อว่า เรียนแค่ตัวหนังสือไปก็ไม่มีประโยชน์ สู้หากิจกรรมมาพัฒนาสมองของเด็กดีกว่า


อันดับ 4 ฮ่องกง-จีน

เหตุผลหลักๆ ก็คงไม่ต่างจากอันดับ 1 เพราะเป็นคนจีนเหมือนกัน นอกจากนี้อย่างที่เรารู้ๆ กันก็คือ ฮ่องกงเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อน ดังนั้นอังกฤษจึงวางรากฐานในทุกๆ ด้านให้กับฮ่องกงไว้อย่างดี ดีไม่ดีแค่ไหน การศึกษาฮ่องกงก็ชนะอังกฤษไปแล้วอ่ะค่ะ 555 แถมมหาวิทยาลัยของฮ่องกงหลายที่ก็ติดอันดับโลก ขอบอกเลยค่ะว่า คนฮ่องกงแทบทุกคนเนี่ยพูดภาษาอังกฤษเก่งมากๆๆๆ แถมคนฮ่องกงบางคนนอกจากจะมีชื่อจีน ก็ยังมีชื่อภาษาอังกฤษด้วยล่ะ ไฮโซได้อีก


อันดับ 5 สิงคโปร์

ที่ประเทศสิงคโปร์เนี่ยเป็นประเทศที่มีคนจีนอาศัยอยู่เยอะมากๆ ค่ะ ดังนั้นความขยันและพยายามก็เลยตามมาด้วย^^ ถึงจะเป็นแค่เกาะเล็กๆ แต่การศึกษาของสิงคโปร์ไม่เป็นรองใครค่ะ ไม่ว่าจะเป็นระดับมัธยมหรือมหาวิทยาลัย สถาบันหลายๆ แห่งติดอันดับท็อปของเอเชียและระดับโลก โรงเรียนนานาชาติก็มีเยอะแยะมากมาย แต่ละที่ก็น่าเรียนทั้งนั้น

อันดับ 6 แคนาดา
อันดับ 7 นิวซีแลนด์
อันดับ 8 ญี่ปุ่น
อันดับ 9 ออสเตรเลีย
อันดับ 10 เนเธอร์แลนด์


.......................

อันดับ 50 ไทย อันดับ 51 ตรินิแดด อันดับ 52 โคลัมเบีย อันดับ 53 บราซิล อันดับ 54 มอนเตเนโกร อันดับ 55 จอร์แดน อันดับ 56 ตูนีเซีย อันดับ 57 อินโดนีเซีย อันดับ 58 อาร์เจนติน่า อันดับ 59 คาซัคสถาน อันดับ 60 แอลบาเนีย อันดับ 61 กาตาร์ อันดับ 62 ปานามา อันดับ 63 เปรู อันดับ 64 อาเซอร์ไบจาน อันดับ 65 คีร์กิจสถาน

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 อาหารต้านโรคภัยในหน้าหนาว


1. ซอสมะเขือเทศ อาหารของชาวอิตาเลียนจะมีซอสมะเขือเทศเปนเครื่องปรุงหลักและพบว่าชาวอิตาเลียนเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจน้อยกว่าชาติอื่นหลายเท่า เพราะในซอสมะเขือเทศ อุดมไปด้วยสารไลโคปิน ซึ่งมีอยู่ในมะเขือเทศและเมื่อผ่านกระบวนการทำเป็นซอสจะเพิ่มปริมาณขึ้นอีก 5 เท่า และสารไลโคปินนี้มีสรรพคุณป้องกันโรคหัวใจและชะลอการเสื่อมของเซลล์ ดังนั้นถ้าคุณรับประทานซอสมะเขือเทศ 2 ถ้วยต่อสัปดาห์ โรคหัวใจก็จะห่างไกลคุณแถมด้วยผิวพรรณสดใสอ่อนเยาว์อีกด้วย





2. กระเทียมสด ในกระเทียมสดประกอบด้วยสารทรงคุณค่า 2 ชนิดคือ อัลลิซินและไดอะลิศ ซึ่งทำหน้าที่ลดคลอเลสเตอรอลซึ่งเป็นสาเหุตของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิตและป้องกันเลือดจับตัวเปนก้อน ดังนั้นเพื่อสุขภาพที่ดี รับประทานกระเทียมวันละ 2 กลีบเป็นประจำ




3. มันเทศ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้อีกด้วย ดังนั้นควรเพิ่มเมนูมันเทศเข้าเป็นอาหารประจำบ้านคุณเพื่อสุขภาพที่ดี




4. หอมหัวใหญ่ มีสารเคอร์เซทีน จึงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย ป้องกันโรคภูมิแพ้ แก้อาการหอบหืดและอาการแพ้ต่างๆได้ดี ฉะนั้นอย่างลืมใช้หอมหัวใหญ่ปรุงเมนูเด็ดของคุณ




5. จมูกข้าวสาลี มีธาตุสังกะสีมาก จึงช่วยขจัดสิวอันเป็นปัญหาของผิวพรรณได้ดี ถ้าเติมจมูกข้าวสาลีในโยเกิร์ตหรือธัญพืชกรอบ มื้อเช้าของคุณเป็นประจำ ผิวหน้าของคุณจะผ่องใสไร้สิวแน่นอน




6. ถั่วดำ มีสารต้านโรคโลหิตจาง และมีวิตามินบีและโปรตีนอีกหลายชนิด



7. บรอกโคลี ในดอกตูมของบรอกโคลีมีสารป้องกันมะเร็งมากกว่าต้นแก่ 30 -50 เท่า




8. สตรอเบอรี่ เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดในการกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งร้าย และให้พลังงานต่ำ มีวิตามินซีสูง


9. โยเกิร์ต เชื่อหรือไม่ว่าการที่ผู้หญิงรับประทานโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วย ช่วยลดการติดเชื้อในช่องคลอดได้ถึง 50% เพราะจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัสในโยเกิร์ตจะกระตุ้นร่างกายสร้างสารต้านการติดเชื้อ ทั้งช่วยลดอาการอ่อนเพลียและทำให้สดชื่นแจ่มใส ต่อไปเห็นที่จะต้องรับประทานโยเกิร์ตทุกวันซะแล้ว




10. ถั่วเหลือง ช่วยต้านการเกิดมะเร็งเต้านม ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งมดลูก สาวๆที่อยากห่างไกลโรคนี้อย่าลืมรับประทาน นำเต้าหู้แกงจืดเต้าหู้ หรืออาหารอื่นๆที่มีเต้าหู้เป็นส่วนประกอบเป็นประจำ

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รู้ไหม? กินขนมปังปิ้งทำให้แก่ไว

อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ แต่น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่กลับไม่ค่อยให้ความสำคัญกับอาหารมื้อแรกของวันสักเท่าไรนัก อาจเป็นเพราะความเร่งรีบและต้องแข่งขันกับเวลา ทำให้อาหารเช้าที่ความจริงแล้วจะต้องเปี่ยมไปด้วยสารอาหาร ถูกลดทอนความสำคัญให้เหลือเพียงแค่ "ขนมปังปิ้ง" เท่านั้น ...

จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ข้อเท็จจริงนี้ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์มาแล้วว่า การที่เรารับประทานขนมปังปิ้งบ่อยๆ ติดต่อกัน จะทำให้เราแก่ชราลงอย่างรวดเร็ว และเป็นโรคเรื้อรังขึ้นได้





ข้อเท็จจริงนี้ถูกยืนยันโดย โจเซฟีน ฟอร์บส์ นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันโรคหัวใจและเบาหวาน ไอดีไอ ที่ ได้ทำการศึกษาอาหารสามัญต่างๆ ตั้งแต่ขนมปังปิ้ง ครัวซองต์ ว่าขนมปังเหล่านั้นสามารถก่อสารเคมี ซึ่งกำลังเป็นที่สงสัยกันว่าทำให้เราแก่ลงได้อย่างรวดเร็ว และเป็นโรคเรื้อรังได้ โดยสารเคมีนั้นมีชื่อว่า เอจีอีส์ อยู่ในอาหาร นับตั้งแต่อาหารที่มีเนื้อสัตว์บดละเอียด ไปจนถึง เครื่องดื่มอัดลมและกาแฟ

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10ขนมหวานชื่อดังของโลก

ทีรามิสุ ( Tiramisu )


เค้กชื่อดังของอิตาลีทำขึ้นจากเล ดี้ฟิงเกอร์ราดเอสเปรสโซ่ สอดไส้ด้วยมาสคาร์โปนชีสและซาบากลิออเน ลือกันว่าทีรามิสุมีจุดกำเนิดมาจากการที่แม่บ้านของทหารในสงครามโลกครั้งที่ สองทำเค้กให้สามีรับประทาน โดยเชื่อว่าส่วนผสมของคาเฟอีนกับน้ำตาลจะช่วยให้พวกเขามีพลังและแคล้วคลาด จากอันตราย ช่างโรแมนติคเสียนี่กะไร เหมาะจะเป็นของหวานรับวันวาเลนไทน์โดยแท้

บาคลาวา ( Baklava)


ประวัติที่แท้จริงของบาคลาวายากที่จะระบุ ให้แน่ชัด เพราะว่ากันว่ามันมีต้นกำเนิดจาก จักรวรรดิอ็อตโตมัน ดินแดนเมโสโปเตเมีย และอาหรับ โดยขนมหวานชนิดนี้ทำขึ้นจากการนำแป้งฟิลโลมาสอดไส้ไว้ด้วยถั่ว น้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม หากต้องการลิ้มลองรสชาติแบบต้นตำรับก็ต้องไปรับประทานถึงถิ่นที่อ้างว่าเป็น จุดกำเนิด ทั้งกรุงอิสตันบูล กรุงเอเธนส์ และกรุงเบรุต แม้แต่ละที่อาจจะมีรสแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ยังการันตีได้ถึงความเอร็ดอร่อย

ไดฟุกุ ( Daifuku )


ขนมเจลลาตินทรงกลมจากแดนอาทิตย์อุทัยมักสอดไส้ไว้ด้วยถั่วแดงหวาน (และบางครั้งก็อาจเป็นแยมสตอเบอร์รี่) โรยด้วยแป้งบางๆ โดยสามารถหาซื้อมารับประทานได้ทั้งจากกรุงโตเกียว โอซาก้า เกียวโต นากาโนะ และทุกแห่งในญี่ปุ่น


กุหลับ จามาน ( Gulab Jamun)


ก้อนขนมปังหวานที่คงไม่ถูกปากฝรั่งตาน้ำ ข้าว แต่คอนเฟิร์มว่าอยู่ในรายชื่อขนมอันดับต้นๆ ของชาวอินเดีย และเมื่อมีคนกว่าพันล้านคนชื่นชอบ ก็ยากจะปฏิเสธได้ว่ามันไม่อร่อย ปกติแล้วมักทำขึ้นโดยใช้ครีมสองชั้นและราด้วยน้ำเชื่อมเข้มข้น เป็นที่นิยมในอินเดีย ปากีสถาน เนปาล และประเทศในแถบเอเชียใต้

ฮาโล ฮาโล ( Halo Halo)


จานเด็ดของชาวฟิลิปปินส์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้ไข่บาลุท แต่รับประกันได้ว่าไม่น่าสะอิดสะเอียน ทั้งนี้ ฮาโล ฮาโล ไม่มีสูตรการทำที่แน่นอน แต่ดูๆ ไปก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งใสของบ้านเรา โดยนำน้ำแข็งบดมาเติมด้วยเครื่องเคียง เช่น ถั่วเขียว ลูกตาล ขนุน มะพร้าวอ่อน ไอศกรีม วุ้นมะพร้าว สับปะรด และอื่นๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการราดนมข้นหวานและน้ำเชื่อม โดยสามารถหารับประทานได้ทุกที่ในกรุงมะนิลา


แบล็คฟอเรสท์เค้ก ( BlackForestCake )


ด้วยความมีชื่อเสียงในเรื่องชนิทเซล เบียร์ และเค้กรสชาติอร่อยมากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เยอรมนีจะกลายเป็นสถานที่ดื่ม-กินยอดนิยมของเรา โดยเจ้าช็อกโกแลตเค้กที่ทับซ้อนหลายชั้นด้วยครีม เชอร์รี่ และบรั่นดีผลไม้นี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นยุค 1900 ทางตอนใต้ของเยอรมนี (ภายหลังได้รับการปรุงแต่งให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยฝีมือของช่างทำเค้กในกรุง เบอร์ลิน) และทุกวันนี้เป็นทื่ชื่นชอบของคนทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า นี่ก็เป็นหนึ่งในของโปรดของเราเช่นกัน

ข้าวเหนียวมะม่วง


ขนมหวานแบบไทยๆ ที่นำมะม่วงสุกเหลืองอร่ามมาทานคู่กับข้าวเหนียวมูนราดด้วยน้ำกะทิ ฟังแล้วชวนน้ำลายสอเป็นอย่างยิ่ง โดยได้รับความนิยมจากทั้งชาวสยามและชาวต่างชาติ ทั้งยังสามารถหาลิ้มลองได้ทั้งที่โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร และร้านอาหารตามท้องถนนทั่วไป


แอปเปิ้ล พาย ( Apple Pie )


เช่นเคย แม้จะฟังดูเป็นอเมริกันจ๋า แต่จริงๆ แล้วมีต้นกำเนิดจากเมืองผู้ดี โดยได้รับการคิดค้นขึ้นเมื่อปี 1381 และปกติจะอบด้วยแป้งสองชั้น ในสมัยก่อน ตอนที่ชาวอังกฤษอพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา พวกเขาได้นำเมล็ดแอปเปิลมาปลูกด้วย จึงทำให้มันมีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมของชาวมะกัน แต่ไม่ว่าจะที่โรงแรมในลอนดอนหรือภัตตาคารในแอลเอ แอปเปิลพายก็เป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดาลูกค้าเหมือนกัน


นาไนโม บาร์ ( Nanaimo Bars)


แคนาดาขึ้นชื่อเรื่องขนมหวาน ? ได้ยินแล้วไม่ต่างกับการพูดว่ากรุงเทพขึ้นชื่อเรื่องทะเลยังไงยังงั้น แต่กระนั้น ขนมรสเลิศดังกล่าวก็มีที่มาจากเกาะแวนคูเวอร์ในเมืองนาไนโม รัฐบริติชโคลัมเบีย โดยได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจากฝีมือแม่บ้านท้องถิ่นซึ่งได้ส่งเจ้าขนมทรง จัตุรัสชิ้นนี้ไปประกวดในนิตยสารและคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้ ปัจจุบัน เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในแถบอเมริกาเหนือ


แครมบรูเล่ ( Creme Brulee)


แม้ชื่อจะฟังดูแล้วฝรั่งเศสสุดๆ แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าเป็นเช่นนั้น เนื่องจากวิทยาลัยทรินิตี้ในเคมบริดจ์ได้อ้างว่าพวกเขาคือต้นตำรับผู้คิดค้น ขนมสูตรเด็ดนี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 1600 อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีจุดกำเนิดจากอังกฤษ แต่เชื่อแน่ว่าคงไม่มีสถานที่ใดเหมาะแก่การทานคัสตาร์ดเย็นๆ โรยด้วยน้ำตาลไหม้ ได้เท่ากับใต้หอไอเฟลที่ประดับด้วยไฟสว่างไสวในยามค่ำคืนในกรุงปารีส

วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

10 อันดับหาดทรายสีดำที่สวยที่สุดในโลก

อันดับที่ 1 >> Punaluu Beach, Hawaii

อันดับที่สูงที่สุดในโลกของหาดทรายสีดำ ตั้งอยู่บน Big Island ของฮาวาย หาดนี้ล้อมรอบด้วยทรายสีดำ ที่เกิดจากลาวาที่เย็นตัวลงจากภูเขาไฟในมหาสมุทร หาดนี้สามารถพบเต่า Hawhsabill หรือ Green sea turtles แม้ว่าทรายสีดำจะดูสวยงาม แต่ถ้า นำทรายออกจากหาดถือว่าผิดกฎหมาย





อันดับที่ 2 >> Waianapanapa Black Sand Beach, Maui
ชายหาดสีดำที่เกิดจากกระแสน้ำกัดเซาะหินภูเขาไฟ คุณสามารถชมและเข้าไปในถ้ำ สะพานที่เกิดจากหินธรรมชาติ และ King's Highway เส้นเก่า ที่เคยใช้เป็นถนนล้อมรอบเกาะ ในฤดูหนาว คลื่นจะแรงและสูงมาก ถ้าจะมาต้องมาในช่วงหน้าร้อน






อันดับที่ 3 >> Honokalani Black Sand Beach, Maui
ตั้งอยู่ใน Wainapanapa State Park หาดที่เต็มไปด้วยกรวดเล็กๆจากลาวา รอบๆจะมีถ้ำ ปะการังลาวา แท่งลาวา คุญสามารถเดินไปยัง King's Highway เป็นทางจากฝั่งเรียบชายหาดไปยัง Hana ซึ่งสามารถดำน้ำและ snorkeling ได้ที่นี้






อันดับที่ 4 >> Oneuli Beach, Maui
หนึ่งในชายหาดที่ไม่อาจไม่พบฝูงชนจำนวนมาก ชายหาดนี้ น้ำกะลังดี สามารถตั้งแคมป์ได้ ว่ายน้ำ ปีนเขา พายเรือ และตกปลา ถ้าคุณชอบอยู่กับธรรมชาติ และยังสามารถดำน้ำ snorkeling และ schuba diving และพายเรือคายัค ทรายจะร้อนมากถ้าพระอาทิตย์ขึ้น






อันดับที่ 5 >> Black Sand Beach, Lost Coast, California

ชายหาดนี้ยาวถึง 80 ไมล์ ที่หายสาบสูญหนึ่งในชายหาดที่คนไปน้อยที่สุด ที่นี้สามารถพิชิตยอดเขาได้ ด้วยความสูงมากกว่า 2000 ฟุต จุดที่สูงที่สุดคือ King's Peak ที่ความสูง 4,087 ฟุต ส่วนใหญ่ผู้คนจะปีนเขาขึ้นไปถ่ายรูปมากกว่า ว่ายน้ำที่นี้



อันดับที่ 6 >> Kaimu Beach, Hawaii

แม้จะอันตรายแต่หาดทรายสีดำนี้ก็น่าที่จะไปชม ในช่วงปี 1990 ชายหาดถูกปกคลุมด้วยลาวา ปัจจุบันจึงมีการปลูกต้นไม้ ดอกไม้ เพื่อให้เข้าสู่ธรรมชาติ กระแสน้ำแรงมาก แต่ถ้าอยู่ตื้นๆก็เล่นได้




อันดับที่ 7 >> Kehena Beach, Hawaii

ชายหาดนี้ได้ชื่อว่าชายหายเปลือยแม้ว่ามันจะผิดกฎหมาย ที่นี้คุณจะไม่โดดเดี่ยวเพราะจะได้พบกับปลาวาฬ เหตุนี้จึงได้ชื่ออีกว่า หาดปลาวาฬ สามารถว่ายน้ำกับปลาวาฬถ้ากระแสน้ำไม่เลวร้าย


อันดับที่ 8 >> Pololu Valley Beach, Hawaii
ชายหาดนี้อยู่สุดทางหลวงหมายเลข 270 ที่เกาะนี้สามารถชมวิวภูเขา kohala ได้อย่างดี พอๆกับชายฝั่ง เป็นเกาเล็กที่สุดในฮาวาย ต้องปืนเขา 400 ฟุต เพื่อมายังชายหาด เวลาประมาณ20 นาที เกาะนี้ไม่นิยมดำน้ำ ว่ายน้ำ เพราะกระแสน้ำแรง และคลื่นสูงอีกด้วย






อันดับที่ 9 >> Black Sand Beach, Prince William Sound , Alaska
ชายหาดอยู่ห่างจาก Anchorage 6o ไมล์ จะได้พบกับธารน้ำแข็ง น้ำตก ภูเขาเขียว และสัตว์ป่าที่ไม่สามารถชมได้ในสวนสัตว์ ถ้ามองไปรอบๆจะเห็นเงาสะท้อนของน้ำและน้ำแข็งสีฟ้าที่อยู่ลึกลงไปเป็นหมื่นฟุต กิจกรรมที่นิยม คือ พายเรือคายัค

อันดับที่ 10 >> Vik beach, Iceland
อยู่ทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์ หนึ่งในชายหาดที่มีการจัดอันดับในปี 1991 เป็นหมู่บ้านที่ฝนตกมากที่สุด ถ้าเราจะไปก็ต้องตรวจสอบให้ดีว่าไม่มีฝนตก