วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กำ เ นิ ด แ ส ต ม ป์ ด ว ง แ ร ก ข อ ง โ ล ก

แต่ก่อนการส่งจดหมายไปมาถึงกัน ยังไม่มีระบบฝากส่งที่ดีเช่นในปัจจุบัน ประเทศอังกฤษได้นำเอาแบบอย่างการไปรษณีย์ฝรั่งเศสมาดำเนินการประยุกต์ใช้ แต่ปรากฏว่าไม่ประสบผลดีเท่าที่ควรและขาดทุน เนื่องจากในระยะเริ่มต้นนั้น ผู้ส่งจดหมายไม่ต้องเสียค่าฝากส่ง บุรุษไปรษณีย์จะนำจดหมายไปส่งให้กับผู้รับและเรียกเก็บเงินจากผู้รับ จึงมีผู้หลีกเลี่ยงไม่ยอมจ่ายเงินค่ารับจดหมายเป็นจำนวนมาก

ปี พ.ศ.2379 นายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ( Rowland Hill ) ชาวอังกฤษ ได้เสนอวิธีคิดค่าธรรมเนียมในการฝากส่ง โดยให้ถือน้ำหนักเป็นเกณฑ์ และกำหนดให้มีมาตรฐานต่อจดหมาย 1 ฉบับ ต่อ 1 เพนนี นอกจากนี้ได้เสนอให้มีการจัดพิมพ์ตราไปรษณียากร หรือแสตมป์ ( Postage Stamp ) สำหรับให้ผู้ใช้บริการซื้อไว้เพื่อปิดผนึกบนห่อซองจดหมาย ณ บริเวณมุมบนด้านขวามือ เพื่อแสดงให้ทราบว่าจดหมายฉบับนั้นได้ชำระค่าธรรมเนียมแล้ว

ข้อเสนอของนายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลอังกฤษ ประเทศอังกฤษจึงเป็นประเทศแรกที่ได้ปฏิรูปการไปรษณีย์เสียใหม่ โดยให้ผู้ฝากส่งเป็นผู้ชำระค่าจดหมายล่วงหน้า และแสตมป์ดวงแรกก็ได้อุบัติขึ้น เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2383
แสตมป์ชนิดราคา 1 เพนนีสีดำ มีพระบรมฉายาลักษณ์ผินพระพักตร์ข้างของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย กษัตริย์อังกฤษในสมัยนั้น นักสะสมจึงเรียกกันทั่วไปว่า ชุด "เพนนีแบล็ค" ( PENNY BLACK ) แสตมป์ชุดแรกของโลกมีข้อสังเกตได้ว่าแตกต่างจากแสตมป์ชุดอื่นๆ 3 ประการ คือ ไม่มีชื่อประเทศ ไม่มีกาวด้านหลัง และไม่มีฟันแสตมป์ ด้วยจำนวนดวงในแผ่นมีทั้งสิ้น 240 ดวง เมื่อจะใช้ต้องใช้กรรไกรตัดออกมา ทำให้แสตมป์มีขอบเรียบทั้ง 4 ด้าน
สำหรับนายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ผู้ทำความดีแก่การไปรษณีย์อังกฤษอย่างเอนกอนันต์ ภายหลังสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย ได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายโรว์แลนด์ ฮิลล์ ให้เป็นขุนนางชั้นบาธ ( BATH ) ตำแหน่ง เซอร์ โรว์แลนด์ ฮิลล์ ( Sir Rowland Hill )

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ศัพท์อังกฤษต่อไปนี้ ห้ามใช้ผิด

Pass Away
เชื่อว่าคำนี้เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีคนใช้ผิดเยอะมากกกก ซึ่ง ถ้ามองตามรูปศัพท์แล้ว Pass = ผ่าน , Away = ห่างไกลออก ไป พอรวมแล้วน่าจะแปลว่าผ่านมาไกลแล้ว

A : Excuse me , do you know where Central Chidlom is ?
B : You have already passed away.

รับรองว่าถ้า B ตอบอย่างนี้ A คงงง เผลอๆ อาจจะโกรธได้ เพราะคำว่า Pass Away แปลว่า 'ตาย' นั่นเองค่ะ
______________________
Are you tired ?
ประโยคนี้ความหมายก็คือ 'คุณเหนื่อยมั้ย' มองเผินๆ ไม่มีอะไร แต่ก็สร้างเรื่องงงๆ มาเยอะแล้วเหมือนกันค่ะ

A : Are you tired?
B : yes , I come from Thailand
A : ????????

เพราะบางครั้งเราอาจจะได้ยินเพี้ยนจาก tired ไปเป็น thai เรียกได้ว่าเป็นอีกคำยอดฮิตที่ฟังเพี้ยนกันบ่อยมากๆ เลยล่ะค่ะ
_______________________
How can you find it ?
ประโยคนี้ถ้ามองเผินๆ จะแปลว่า 'คุณหา(มัน)พบได้ยังไง?' ซึ่งมองเผินๆ ก็ไม่มีอะไรแปลก แต่ต้องดูรูปประโยคด้วยนะคะ เช่น

A : You have lived in Bangkok for 2 years, so how can you find it?
B : Bangkok is the capital of Thailand . It's bordered to the north by Burma and Laos.....
A : ??????????????
ซึ่งในรูปประโยคนี้ How can you find it ? เป็นการถามว่า 'คุณรู้สึกยังไงกับกรุงเทพฯ' แต่คุณ B เล่นตอบที่ตั้งตำแหน่งของกรุงเทพฯ ซะงั้น
__________________________
Dictionary
ศัพท์นี้เป็นอะไรที่ฮามากจริงๆ ดิกชันนารีหรือพจนานุกรมหรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่า 'ดิก' นั้น สร้างเรื่องฮาๆ ในหมู่คนไทยมานักต่อนักแล้วล่ะ

A : I don't bring my bag to school today , can I borrow you dict?
B : !!!!!!!!!!!!!!!!!!

เพราะถ้าเราออกเสียงกันเฉยๆ ว่า 'ดิก' เสียงมันจะคลับคล้ายคลับคลากับคำว่า 'dick' ที่แปลว่าอวัยวะเพศชายนั่นเอง เพราะฉะนั้นพยายามเรียกเต็มๆ ว่าดิกชันนารีจะดีกว่า
__________________________
How are you going ?
ถ้ามองแบบนี้แล้ว ประโยคนี้ดูเหมือนจะแปลว่า 'คุณไปยังไง' (เพราะมีคำว่า go) แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่

A : Wow , you come to office very early. By the way, how are you going?
B : I always come to office by bus.
A : ?????????

เพราะจริงๆ แล้ว ประโยคที่ว่า How are you going? ความหมายคล้ายๆ How are you? นั่นเอง เหมือนถามสาร ทุกข์สุขดิบว่าเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้ถามว่าเดินทางไปมาด้วย วิธีใด

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

6 วิธี ทำให้ตัวเองดูเป็นคนฉลาด

คนคุณภาพ

ทำตัวเองให้ดูเป็นคนมีคุณภาพ โดยเริ่มจากรับผิดชอบงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ดีซะก่อน แล้วค่อยคิดที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนอื่น

ฉลาดอย่างถูกต้อง

หากเราต้องการให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนฉลาด อย่าทำผิดศีลธรรมเป็นอันขาด ไม่ใช่เพราะโกงหรือหลอกลวงคนอื่นว่าเราฉลาด เพราะความฉลาดต้องมาจากความฉลาดอย่างถูกต้องเท่านั้น ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นความฉลาดที่ยั่งยืน






อัพเดทข่าวใหม่เสมอ

ติดตามข้อมูลข่างสารใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ อ่านหนังสือพิมพ์ให้มากกว่า 1 ฉบับต่อวัน ถ้าเป็นไปได้ยามว่างก็ลองหานิตยาสารดีๆซักเล่มมานั่งอ่าน ให้หัวสมองได้ทำงานบ้าง

ใช้เหตุผล...และคิดก่อนทำ

เคยเห็นคนโกรธ โมโหร้าย ใช้แต่อารมณ์โดยไม่ฟังเหตุผลหรือเปล่า สถาพคงไม่น่ามองแน่ๆ แล้วถ้าเป็นเรา เราจะทำอย่างนั้นหรอ อย่าลืมซะว่า เหตุผล มาก่อนอารมณ์มันดีกว่าเป็นไหนๆ คนฉลากที่ไหนเค้าก็ทำกันทั้งนั้น ถ้างั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเราแล้วล่ะว่า จะเลือกที่จะฉลาด หรือโง่ ล่ะ


nobody's perfect

เตือนตัวเองอยู่เสมอว่าnobody's perfectจงรู้จักที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นสิ่งเตือนความจำ น้องๆเคยได้ยิน คำว่า “ผิดเป็นครู” หรือเปล่าจ๊ะ นั่นแหละ เค้าต้องการจะสอนว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจะสอนเราให้เราเก่งและฉลาดขึ้น เพื่อพร้อมจะเผชิญหน้าต่ออุปสรรค์ต่างๆ

ไม่เหมือนใคร

คิดซะว่า ตัวเรามีแค่คนเดียวไม่ซ้ำใคร อย่าเอาตัวเองไปเปรียบกับคนอื่น ข้อดีข้อเสีย จุดด้อยจุดเด่น ของแต่ละครย่อมไม่เหมือนกันอีกเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเป็นตัวของตัวเองกันดีกว่า ลองดึงจุดเด่น และข้อดี ของตัวเราออกมาใช้ดูซิ แล้วจะพบว่า ตัวเองมีค่าขึ้นอีกเยอะเลย

4 วิํธีดับร้อนจากท่าน ว.วชิรเมธี


1. อย่าเป็นนักจับผิด
คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง"กิเลสฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก" คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส "จิตประภัสสร" ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี"แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข"
2. อย่ามัวแต่คิดริษยา
"แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน" คนเราต้องมีพรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาคนที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า "เจ้ากรรมนายเวร" ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้อง ถอดถอนความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น "ไฟสุมขอน" (ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อนเราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี "แผ่เมตตา" หรือซื้อโคมมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล่อยให้ลอยไป
3. อย่าเสียเวลากับความหลัง
90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ "ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น" มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องเคราต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ" อย่าปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน" "อยู่กับปัจจุบันให้เป็น" ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี "สติ" กำกับตลอดเวลา
4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ
"ตัณหา" ที่มีปัญหา คือ ความโลภ ความอยากที่ เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติของตัณหา คือ "ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม" ทุกอย่างต้องดูคุณค่าที่แท้ ไม่ใช่คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกาคืออะไร คือไว้ดูเวลา ไม่ใช่มีไว้ ใส่เพื่อความโก้หรู คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือคืออะไร คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่ คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์ เราต้องถามตัวเองว่า "เกิดมาทำไม" "คุณค่าที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน" ตามหา "แก่น" ของชีวิตให้เจอคำว่า "พอดี" คือถ้า "พอ" แล้วจะ "ดี" รู้จัก "พอ" จะมีชีวิตอย่างมีความสุข

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ซอสมะเขือเทศ มีดีมากกว่าความอร่อย

ถ้าเอ่ยถึง “ซอสมะเขือเทศ” จะต้องนึกถึงเมนูจานโปรดไม่ว่าจะเป็นพิซซ่า ไก่ทอด ข้าวไข่เจียวขึ้นมา เพราะช่วยเพิ่มรสชาติความอร่อยให้ทวีคูณขึ้นไปหลายขั้นเลย แต่รู้กันบ้างรึเปล่าว่าซอสนี้ยังสามารถช่วยเรื่องความสวยความงาม สุขภาพ และครัวเรือนของเราได้อีกด้วย โดย.......





สีเปลี่ยนไป!! >> รู้กันบ้างรึเปล่าว่าการว่ายน้ำในสระนั้น สามารถทำให้สีผมของเราที่ไปทำสี หรือไฮไลท์มานั้นเปลี่ยนไปได้ ซี่งสาเหตุมาจากคลอรีนที่อยู่สระจะทำปฏิกิริยากับสีของผม ดังนั้นหลังจากว่ายน้ำเสร็จ ก็ควรที่จะนำซอสมะเขือเทศสักประมาณหนึ่งฝ่ามือมาละเลงให้ทั่วศีรษะ ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออก สีผมที่เปลี่ยนไปก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

ขัดแล้วก็ขัด!! >> ไม่ต้องกลัวว่าเครื่องประดับเงินชิ้นโปรดของเราจะหมองอีกต่อไป เพราะในซอสมะเขือเทศนั้นมีกรดผลไม้ที่ช่วยในเรื่องการขัดเงา ซึ่งวิธีการก็ง่ายมากเพียงแค่นำซอสมะเขือเทศมาขัดถู หลังจากนั้นก็นำไปล้างด้วยน้ำเปล่า เพียงเท่านี้เครื่องประดับเงินชิ้นโปรดของเราก็จะกลับมาสวยเด้งเหมือนเดิมแล้วจ้ะ

เจ็บจี๊ด!! >> ไม่ว่าหกล้ม ถูกมีดบาด แผลจะใหญ่-เล็กขนาดไหน ซอสมะเขือเทศก็สามารถช่วยได้ เพียงนำเจ้าซอสสีแดงเข้มที่แช่ตู้เย็นไว้มาป้ายบนบาดแผล เพียงเท่านี้ความรู้สึกเจ็บก็จะบรรเทาลงไปได้เยอะเลยจ้ะ


อี๊ กลิ่นเหม็น!! >> ครัว นอกจากจะเป็นพื้นที่ทำอาหารแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมกลิ่นต่างๆ ไว้ มากมายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอาหาร กลิ่นเศษอาหาร กลิ่นคาวปลา ฯลฯ ซึ่งกลิ่นเหล่านี้จะหายไปเป็นปลิดทิ้งเพียงแค่เปิดฝาซอสมะเขือเทศทิ้วไว้ 1 คืนเท่านั้น ตื่นเช้ามาพี่ปัดรับรองว่าจะไม่มีกลิ่นใดๆ มากวนใจแน่นอนจ้ะ

อ่านให้แจ๋ว อ่านแบบ ORUS

การอ่านแบบ ORUS มี 4 ขั้นตอนค่ะ


1.สำรวจ (Overview) ก็คือตรวจดูสิ่งที่เราจะต้องอ่านค่ะว่ามีอะไรบ้าง เช่น ชื่อเรื่อง ชื่อหัวข้อ ตัวที่พิมพ์หนาๆ ซึ่งพวกนี้จะบอกขอบเขตเนื้อหาคร่าวๆค่ะ รวมไปถึงพวกรูปภาพประกอบ แผนภูมิ ที่เป็นตัวช่วยให้เราเข้าใจเนื้อหาได้มากขึ้น พอรู้เนื้อหาคร่าวๆแล้ว ก็ต้องมาวางแผนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดค่ะ แบ่งเป็นตอนๆไป กำหนดเวลาอ่านด้วย แล้วก็ต้องทำตามให้ได้ด้วยนะคะ


2.อ่าน (Read) ไม่มีขั้นตอนนี้ได้ไงจริงไหมคะ การอ่านแบบโอรัส จะเป็นการอ่านแบบรวดเร็วและคัดเอาแต่ใจความสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ประโยคแรกหรือย่อหน้าสุดท้ายค่ะ ประโยคไหนที่ไม่สำคัญก็อ่านข้ามไป แต่ถ้าอ่านแล้วงง สงสัย แอบจดคำถามไว้ก่อนก็ได้ค่ะ



3.เก็บข้อมูล (Pick Up)เป็นการเน้นใจความสำคัญเพื่อให้เราจำได้ค่ะ โดยการขีดเส้นใต้ กาดอกจัน โดยเฉพาะส่วนที่เราคิดว่าน่าจะออกสอบ หรือโน๊ตย่อไว้ พอทำเครื่องหมายแล้ว ให้น้องลองจำโดยไม่ต้องเปิดดูนะคะ


4.สรุปความเข้าใจ (Summarize) อ่านจบแล้ว อย่าเพิ่งไปไหน ลองมาเขียนโน๊ตย่อของเรื่องที่อ่านไปใส่สมุดดูนะคะ โดยเขียนสิ่งที่เราจำได้ก่อน ถ้าเขียนออกมาแล้วงง หรือสับสนตรงไหน ก็ให้กลับไปดูเนื้อหาตรงนั้นซ้ำอีกที ทีนี้ก็จะกระจ่างมากขึ้นจ้า