วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553


1. ระวังมิจฉาชีพ สิ่งที่แอบแฝงอยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวเยอะก็เห็นจะหนีไม่พ้นพวกมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบต่างๆ อันที่จริงแล้วประเทศในแถบยุโรปถือว่าค่อนข้างมีความปลอดภัยในระดับมากถึงมากที่สุด แต่ก็ห้ามลืมที่จะระวังตัว โดยเฉพาะในเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีมิจฉาชีพมาก เช่น


- ปารีส ประเทศฝรั่งเศส มักแฝงตัวตามสถานที่ท่องเที่ยวเช่น หน้าพระราชวังแวร์ซายส์ และตามรถไฟใต้ดิน พวกนี้มักจะมาในรูปของโจรกรีดกระเป๋า

- มิลาน โรม ประเทศอิตาลี มักจะอยู่ตามรถไฟใต้ดิน และหน้าสถานที่ต่างๆ เช่น หน้าโบสถ์ดูโอโมที่มิลาน หน้าโคลอสเซียมที่โรม พวกนี้จะมาในรูปของยิปซีที่แต่งตัวรุ่มร่าม และพวกคนผิวดำที่ชอบมาหลอกขายของหรือหลอกผูกข้อมือด้วยเส้นด้ายต่างๆ และเก็บเงินในราคาที่แพงมาก

- แมดริด บาร์เซโลน่า ประเทศสเปน เป็นอีกที่ที่ได้ชื่อว่ามีมิจฉาชีพอยู่ไม่น้อย รูปแบบจะเป็นเช่น ขี่มอเตอร์ไซค์วิ่งราว หรือถ้าจอดรถอยู่อาจซวยเจอทุบกระจกแล้วขโมยของในรถไป

2. ระวังตกรถ เนื่องจากระบบขนส่งของยุโรปเป็นอะไรที่ตรงเวลามากๆๆ ไม่ว่าจะรถบัสหรือรถไฟ เช่น ถ้าตามตารางเวลาบอกว่าจะมาถึง 18.30 ก็จะมาถึง 18.30 เป๊ะๆ หรือบวกลบไม่เกิน 5-10 นาที เพราะฉะนั้นถ้าใครเดินช้าหรือมัวอ้อยอิ่งล่ะก็ตกรถแน่ๆ สถานเดียวเลยล่ะค่ะ แต่อันนี้อาจจะเป็นข้อเสียในแง่ที่ต้องต่อรถไฟไปเมืองอื่นๆ เช่น รถไฟขบวนแรกจะไปถึงตอน 9.20 แต่อีกขบวนที่เราต้องไปต่อจะออก 9.30 แบบนี้ก็ต้องวิ่งป่าราบกันเลยล่ะค่ะ ไม่งั้นตกรถแน่ๆ


3. ระวังโดนดูถูก โดยเฉพาะน้องผู้หญิงที่อาจจะมีผิวสีแทนๆ หน่อย เพราะชาวต่างชาติบางคนก็ชอบเหมาว่าเป็นผู้หญิงอย่างว่า .... เพราะฉะนั้นถ้าเจอฝรั่งที่มาทำตัวรุ่มร่ามใส่ ก็ให้เดินหนีไปเลยนะ หรือไม่ก็ด่ากลับซะเลยให้เค้ารู้ว่าฉันไม่ใช่ผู้หญิงอย่างนั้นนะ !!


4. ระวังเงินหมด ไปยุโรปทั้งที จะมามัวประหยัดก็ไม่ได้สิเนาะ หลายคนหมดตัวกับการช้อปปิ้ง ไม่ว่าจะเป็นของกิน ของฝาก ที่ค่อนข้างมีราคาสูงเนื่องจากที่นั่นมีค่าครองชีพที่สูง หรือเสื้อผ้าต่างๆ ที่บางแบรนด์ไม่มีในเมืองไทย หรืออาจจะมีในไทยแต่ที่ยุโรปถูกกว่า เลยไม่อยากพลาดที่จะช้อป ยังไงก็อย่าลืมคิดคำนวณเงินให้พอเหลือค่ารถกลับบ้านกันบ้างอะไรบ้างนะ


5. ระวังติดใจ ข้อนี้สำคัญมาก ว่ากันว่าใครที่ไปยุโรปแล้วต้องกลับไปอีกกันทุกราย เพราะติดใจกับความสวยงามของที่นั่น รวมถึงการเดินทางที่สะดวกสบายมาก ประมาณว่าไปยุโรปทีได้เที่ยวกัน 3-4 ประเทศเลย หลับตาบนรถไฟซักงีบก็ข้ามประเทศแล้ว คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเลยใช่มั้ยล่ะ บางคนกลับจากเที่ยวยุโรปได้แป๊บเดียว ก็ต้องวางแผนหาทางกลับไปกันอีก เพราะติดใจในยุโรปเข้าอย่างจัง ! และหาได้น้อยมากกกกที่คนที่ไปยุโรปแล้วจะรู้สึกไม่ชอบยุโรป ก็ของเค้าสวยจริงๆ


วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

จอจิ๋วแต่แจ๋ว

มีมาให้กรี๊ดกร๊าดกันอีกแล้วสำหรับของเล่นกุ๊กกิ๊กสุดไฮเทค ที่รับรองว่าถ้าวางขายจริงจะต้องฮอตไม่เป็นสองรองใครแน่ๆ เอาเป็นว่าเด็กเล่นได้ผู้ใหญ่เล่นดีก็แล้วกัน

ไม่อยากจะโฆษณากันให้เสียเวลาจริงๆ สำหรับ “ Siftables” ซึ่งเป็นของเล่นในอนาคตที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาในห้องทดลอง แต่เทคโนโลยีนี้ก็ได้มีการนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อให้ได้เห็นถึงแนวความคิดและเทคโนโลยีอันทันสมัย โดยไอเดียสุดยอดแห่งความสร้างสรรค์นี้เป็นผลงานของนักวิจัย MIT นามว่า David Merrill



Siftables มีรูปร่างหน้าตาเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส ขนาดประมาณ 2 x 2 นิ้ว มีจอแสดงผล OLED ใช้งานร่วมกับ Siftables จำนวนหลายชิ้น แต่ละชิ้นจะมีระบบ Accelerometer 3 แกน สำหรับตรวจจับการเคลื่อนไหว และใช้ควบคุมในบางฟังก์ชั่น เชื่อมต่อหากันด้วยเทคโนโลยีไร้สาย(บลูทูธ)


สาวๆสามารถนำ Siftables มาเรียงต่อกันเพื่อใช้เป็นเครื่องคำนวณตัวเลขแบบง่ายๆ เหมาะสำหรับเด็กเล็กๆ นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นเรียนรู้เกี่ยวกับการผสมสี และเล่นเกมแบบอักษรไขว้ โดย Siftables แต่ละชิ้น จะแสดงตัวอักษรภาษาอังกฤษซึ่งสามารถนำมาเรียงต่อกันเพื่อให้เกิดเป็นคำศัพท์ ไม่ว่าจะเรียงต่อในแนวตั้งหรือแนวนอน Siftables ก็สามารถรับรู้ได้ด้วย

คน แปลงเพศคนแรกในโลก


Christine Jorgensen คริสทีน จอร์เจนเซ้น เธอ(เขา) คือมนุษย์ คนแรกที่ แปลงเพศจาก ชาย เป็น หญิง การกระทำของ เธอ(เขา) เป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ อย่างมาก ในยุคที่เรื่องลักเพศ เป็นเรื่องที่น่าอับอาย และไม่สามารถแสดงออกได้ เหมือนดังปัจจุบัน
ประวัติ ของ คริสทีน จอร์เจนเซ้น ชายแปลงเป็นเพศเป็นหญิงคนแรกในโลก

- เธอ(เขา) เกิดเมื่อ 30 พฤษภาคม 1926 เสียชีวิตลงเมื่อ วันที่ 3 พฤษภาคม 1989 ด้วยโรคมะเร็ง
- เธอ(เขา) เป็นชาวอเมริกัน และมีชื่อเดิมก่อนการแปลงเพศว่า George William Jorgensen, Jr
- เธอ(เขา) เป็นมนุษย์แปลงเพศ
คนแรกของโลก
- หลังจากจบการศึกษาจาก Christopher Columbus High School ในสาขาช่างภาพ ในปี 1945 เขาถูกเกณฑ์ เข้่่าเป็นทหารเพื่อร่วมรบ ในสงครามโลกครั้งที่ 2
- หลังจากกลับจากสงคราม เขาเริ่มพูดถึงสิทธิ์ และสนับสนุนเพศที่ 3 ในแนวทางของ Dr. Joseph Angelo
- เขาเดินทางไปยังประเทศเดนมาร์ค(Denmark) เพื่อรับการแปลงเพศจาก Dr. Christian Hamburger
- เธอ(เขา)เดินทางกลับอเมริกาในปี 1953
หนังสือพิมพ์นิวยอร์ค ได้พาดหน้าหนึ่งว่า อดีตทหารจีไอที่กลายเป็นสาวผมบรอนด์สุดสวย(Ex-GI Becomes Blonde Beauty)
- เธอ(เขา) ได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง ได้ออกรายการ TV
คริสทีน จอร์เจนเซ้น ทำงานเป็นนักแสดง นักเต้น และวิทยากรให้ความรู้เรื่องการแปลงเพศ
- เธอ(เขา)คือแรงบันดาลใจให้ แก่เพศที่สาม ลุกขึ้นยืนในสังคม

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ดาหลา

ชั้น Liliopsida
อันดับ
Zingiberales
วงศ์
Zingiberaceae
สกุล
Etlingera
สปีชีส์ E. eliator



ต้นดาหลา (ชื่อวิทยาศาสตร์ : Etlingera elatior (Jack) R.M. Smith )เป็นชื่อของพืชล้มลุกประเภทใบเลี้ยงเดี่ยวชนิดหนึ่งซึ่งมีดอกที่สวยงาม มีความนิยมปลูกเป็นไม้ตัดดอก ที่อยู่ในวงศ์ขิง( Zingiberales) ซึ่งจัดเป็นพืชที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับขิงและข่านั้นเอง ส่วนลำต้นดาหลาจะอยู่ใต้ดินที่พวกเราเรียกว่าเหง้าซึ่งเหง้าที่พูดถึงนี้จะเป็นจุดกำเนิดของหน่ออ่อนของทั้งต้นและดอกดาหลาต่อไป

ต้นดาหลา นอกจากจะนำมาเป็นไม้เพื่อชมความสวยงามของดอกแล้วยังสามารถนำดอกมาประกอบอาหารได้และก็มีคุณค่าทาง
สมุนไพรสูงมากด้วย


สายพันธุ์
- ดอกสีแดงได้แก่ พันธุ์บัวแดงใหญ่ พันธุ์แดงอินโด
- ดอกสีชมพู ได้แก่ พันธุ์บานเย็น

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

"7 ความกลัว" ของเด็กเตรียมตัวไปนอก

1. กลัว Homesick - เป็นความกลัวที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจได้มากที่สุด เพราะกลัวโฮมซิกนั่นก็คือการคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่พี่น้อง คิดถึงเพื่อนๆ โดยเฉพาะถ้าใครไปอยู่เมืองเงียบๆ อากาศหนาวๆ แล้ว อาการโฮมซิกจะยิ่งเพิ่มทวีคูณมากเลยทีเดียว
วิธีแก้ไข เดี๋ยวเทคโนโลยีเค้าพัฒนาแล้ว น้องๆ สามารถแชทกับคุณพ่อคุณแม่คุณเพื่อนผ่านโปรแกรมแชทต่างๆ ทั้ง msn skype และอื่นๆ จะแชทอย่างเดียว หรือจะเล่นเวบแคม หรือจะคุยผ่านไมค์กันก็ทำได้ทั้งนั้น ยิ่งถ้าบ้านไหนที่คุณพ่อคุณแม่ทำงานอยู่ที่บ้านล่ะก็ ก็สามารถคุยเล่นกับลูกได้ทั้งวันจนหายคิดถึงกันไปเลย

2. กลัวเรียนไม่รู้เรื่อง - แน่นอนว่าไปเรียนถึงเมืองนอก ก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ที่เหมือนเป็นสิ่งแปลก(ประหลาด)ใหม่สำหรับน้องๆ เรียนเป็นภาษาไทยว่ายากแล้ว นี่ต้องมาเรียนภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาที่คุ้นเคย แถมยังมีศัพท์เฉพาะทางหรือศัพท์วิชาการรวมอยู่ด้วย ยิ่งเพิ่มความยากเข้าไปอีก
วิธีแก้ไข เมื่อเวลาผ่านไป น้องๆ ก็จะเกิดความ "เคยชิน" กับการเรียนเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทยเองค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องฝึกและพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ ด้วย เช่น อ่านหนังสือบ่อยๆ ฝึกดูหนังฟังเพลงเป็นภาษานั้นๆ ก็จะทำให้เกิดความคุ้นเคยกับภาษานั้นมากยิ่งขึ้นไปเอง

3. กลัวไม่มีเพื่อน - ไม่รู้ว่าจะเข้าหาเค้ายังไง ไม่รู้ว่าคบไปแล้วจะสนิทใจมั้ย จะไว้ใจได้หรือเปล่า เพราะต่างชาติต่างภาษา จะคุยกันเข้าใจอย่างจริงใจเหมือนเพื่อนที่ไทยรึเปล่านะ
วิธีแก้ไข เป็นปัญหาที่หลายคนกังวลแต่ก็เป็นปัญหาที่แก้ได้ง่ายมากๆ ค่ะ โดยเฉพาะถ้าเราเข้าไปทำความรู้จักกับเพื่อนที่มาจากต่างประเทศเหมือนกัน เพราะต่างคนต่างก็เหงาเพราะจากบ้านมา ก็จะช่วยทำให้เข้ากันง่ายขึ้นเยอะเลย


4. กลัวปรับตัวเข้ากับสถานที่ใหม่ไม่ได้ - เช่น ไม่กล้าไปไหนไกลเพราะกลัวหลงทางหรือกลัวสื่อสารไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไม่กล้าอยู่บ้านคนเดียวเพราะกลัวโจรขึ้นห้อง กลัวกินอาหารอะไรไม่ค่อยได้เพราะไม่ชิน กลัวอากาศหนาวแล้วจะไม่สบาย
วิธีแก้ไข จริงๆ ไม่ต้องแก้ไขอะไรก็ได้เพราะเวลาจะทำให้เราชินกับมันไปเอง

5. กลัวอ้วนขึ้น - อันนี้มักจะเป็นปัญหาของน้องผู้หญิง เพราะตามสถิติแล้วคนที่ไปต่างประเทศนานๆ มักจะกลับมาไทยพร้อมกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 7-10 กิโลหรืออาจจะมากกว่านั้น เพราะอาหารหลักก็หนีไม่พ้นพวกแป้ง เนย ชีส ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งเพาะไขมันชั้นดีทั้งนั้น


วิธีแก้ไข อย่าลืมหาเวลาออกกำลังกายกันบ้าง เพราะจะให้หลีกเลี่ยงอาหารพวกแป้ง เนย ชีสคงเป็นเรื่องยากมากๆ ถึงจะทำให้อ้วนแต่ก็มีประโยชน์เพราะช่วยให้ร่างกายอบอุ่น และไม่รู้สึกเพลียเกินไปในตอนที่อากาศหนาวมากๆ

6. กลัวเงินไม่พอใช้ - ค่าครองชีพในเมืองนอกสู๊งสูงจนหยุดไม่อยู่ เช่น ข้าวที่ไทยจานละ 30 บาท แต่ที่เมืองนอกอย่างต่ำก็ทะลุ 100 บาทแล้ว


วิธีแก้ไข ประหยัด ประหยัด แล้วก็ประหยัดค่ะ ใครมีแรงเหลือเยอะแนะนำให้ทำงานพาร์ทไทม์ตามร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรืออื่นๆ เพราะนอกจากจะได้เงินแล้ว ยังอาจได้ของกินกลับบ้านมากินฟรีๆ ได้อีกหลายมื้อเลย


7. กลัวแฟนนอกใจ - เป็นปัญหาใหญ่ของคนที่มีแฟนแล้ว อยู่ไกลกันขนาดนี้ เค้าจะมีแฟนใหม่มั้ย จะนอกใจเรารึเปล่า เค้าจะลืมเรามั้ย ... ก็ว่ากันไปสารพัด แต่ถ้าพูดกันตรงๆ เลยล่ะก็ กว่าครึ่งจบด้วยการเลิกกัน
วิธีแก้ไข คงไม่สามารถแนะนำได้เพราะอันนี้เป็นปัญหาใจส่วนตัว รวมถึงขึ้นอยู่กับความเชื่อส่วนบุคคลด้วย อย่างพี่เป้เชื่อเรื่องพรหมลิขิตเลยคิดว่า ถ้าเลิกกันแปลว่าเราและเค้าคงจะต้องได้เจอคนใหม่ที่ดีกว่า แต่ถ้ายังรักกันอยู่ก็เตรียมตัวสู่ขอได้เลย